เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เหล่าองค์ชายจะต้องย้ายออกจากฝ่ายในเมื่อเจริญพระชันษาครบสิบห้า แม้เป็นเวลาหลายปีที่ต้องจากตำหนักแสงจันทร์ไป แต่เมื่อมีโอกาสพระองค์ยังทรงแวะเวียนมาเสมอ ...เพราะที่นี่ความทรงจำของเสด็จแม่ยังคงอยู่และยังคงมีคนที่รักเสด็จแม่รอพระองค์อยู่ เพราะเรื่องราวอันเป็นมลทินต่อราชวงศ์ ระหว่างพระมารดากับเสด็จอาเฟยเสียนถูกกระพือจนล่วงรู้กันโดยทั่วทั้งส่วนในนั่นสินะองค์ชายในพระสนมเยว่เหลียง!สนมที่ประชวร แล้วสิ้นตำหนักฮุ่ยเหรินน่ะหรือ ข้อหาร้ายแรง...คบชู้ไม่อยากทรงได้ยิน ไม่อยากถูกมองตามทุกที่ที่เสด็จ ฉะนั้น...จึงไปให้ไกล เมื่อยังทรงพระเยาว์ก็เสด็จหนีออกนอกตำหนักใน เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นมาหน่อยก็เสด็จออกนอกกำแพงวัง ดูแลพระองค์เองได้ถึงสิบห้าชันษาก็เสด็จออกนอกกำแพงเมือง เมื่อเจริญพระชันษาได้สิบหกเต็มจึงย้ายออกไปไกลถึงชายแดน“องค์ชายฝานจิ้ง... องค์ชายฝานจิ้งใช่ไหมเพคะ” เสียงอันคุ้นเคยแต่เยาว์วัยทักขึ้น เสียงของคนที่รักเสด็จแม่และรอพระองค์อยู่เสมอ เมื่อเจ้าของพระวรกายสูงผินพระพักตร์คมคายตามเสียงทัก พระสนมซู-ซือหนี่มองโอรสในพระสนมเอกเยว่เหลียงด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความปีติ แม้องค์ชายเคยประทับร่วมตำหนักได้อุ่นกายก็จริง หากความอบอุ่นทางใจไหนเลยจะเท่าได้รับจากแม่ผู้ให้กำเนิดซึ่งตายจากก่อนวัยอันควร นานเท่าไรแล้วที่ตำหนักแห่งนี้ร้างเว้นซึ่งเสียงพระสรวลของ องค์ชาย เพราะเมื่อล่วงเข้าสิบห้าชันษาก็ต้องย้ายออกห่างอกมารดาผู้เลี้ยงดูอีกครา “ฝานจิ้งคารวะพระสนม” องค์ชายฝานจิ้งทรงทำความเคารพนอบน้อมดั่งเคย พระสนมซูซือหนี่นั้นเข้ามาอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ด้วยภักดี หาใช่ความรักแต่แรกไม่ เมื่อจริตเสน่หาที่สตรีวังหลวงพึงมีถูกนำมาใช้อย่างน้อยนิด แค่เพียงเพราะรูปงาม จึงไม่อาจเหนี่ยวรั้งให้จักรพรรดิซึ่งมีสนมนับร้อยนับพันทรงมาเหลียวแลด้วยความสนิทเสน่หาได้นาน ตำหนักแสงจันทร์หลังน้อยจึงคล้ายจันทร์ในคืนเดือนเสี้ยว โดดเดี่ยวเศร้าสร้อยไร้คนแลไม่นานนัก สนมจากหัวเมืองทางเหนือก็เข้ามาอยู่ร่วมตำหนัก นางผู้มีรูปโฉมงดงามหากแต่คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ไร้ซึ่งจริตมารยา ทั้งยังนอบน้อมต่อผู้อยู่ก่อนเป็นเนืองนิตย์ ทั้งสองจึงได้รักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวกัน อีกคนมาจากต่างบ้านต่างเมือง อีกคนอยู่อย่างเดียวดายดุจดอกไม้รอวันร่วงโรย เมื่ออยู่คู่กันพระตำหนักแสงจันทร์จึงสาดแสงราวจันทร์เต็มดวงขึ้นอีกคราว ความรักจากองค์จักรพรรดิมิได้ถูกส่งมาให้เพียงสนมเยว่เหลียงในตอนนั้น หากเผื่อแผ่มาถึงนางด้วย ไม่นานนักสนมจากหัวเมืองเหนือให้กำเนิดพระโอรสองค์น้อยพระนามฝานจิ้ง ด้วยวัยที่มากขึ้น พระสนมซูซือหนี่จึงตั้งครรภ์ช้ากว่าเจ็ดปี ก่อนให้กำเนิดพระธิดาองค์น้อยนามอวี่เฉินซึ่งเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของผู้เป็นแม่...ชีวิตของนางไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป พระวรกายสง่างามสูงผึ่งผายเยี่ยงชายชาตินักรบทรงยืนตรง ดวง พระเนตรรียาวรับกับพระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์นั้นค่อยๆ คลี่แย้มออกก่อนถามด้วยสุรเสียงนุ่มนวล“คิดถึงหม่อมฉันมากไหม” ตรัสถามอย่างเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เมื่อก่อนองค์ชายและพระสนมซูพำนักอยู่คนละฝั่งของตำหนัก ทรงกระโดดไปมาประเดี๋ยวเดียวก็ถึง หายพระพักตร์ไปไม่ทันถึงชั่วยาม พบ พระสนมอีกคราก็ส่งพระสุรเสียงเจื้อยแจ้ว...คิดถึงหม่อมฉันมากไหมๆพระสนมซูซือหนี่ทูลเชิญองค์ชายฝานจิ้งเข้าประทับภายในตำหนัก พระองค์ทรงรับสุธารสชาที่พระสนมผู้เปรียบเสมือนแม่อีกคนนำมาถวาย พร้อมตรัสถามสารทุกข์สุกดิบอย่างเป็นกันเองตามประสาคนเคยร่วมชายคา ไม่โปรดให้มีพิธีรีตองใดๆ เพราะที่แห่งนี้คือ...บ้าน บ้านหลังแรกที่ประทับฝังแน่นในห้วงพระหฤทัย“น้องหญิงอวี่เฉินไปไหนเสียแล้ว หม่อมฉันยังไม่เห็น”“อยู่ตำหนักเอินฉิง เพื่อฝึกดนตรี เขียนอักษรและวาดภาพเพคะ” “อ้อ...พี่หญิงและน้องหญิงทุกพระองค์ต้องปรีชาในเรื่องเหล่านี้...โชคดีที่เกิดเป็นชาย” ตรัสแล้วก็ทรงสรวล พระพักตร์คมนั้นอาบด้วยความสุขแต่ไหนแต่ไรมา สถานที่ที่พระองค์ไม่ทรงโปรดจะย่างพระบาทเข้าใกล้นอกจากห้องทรงพระอักษรเล็กและพระตำหนักเทียนตี้ที่ประทับของ องค์จักรพรรดิแล้ว อีกที่ก็คือพระตำหนักเอินฉิงอันเป็นที่ประทับของพระมเหสี‘ตำหนักเปลี่ยนนิสัย’ ใครเข้าไปแล้วออกมาก็เหมือนกันหมด สมญานามนี้รู้กันเฉพาะคนในตำหนักแสงจันทร์ เพราะสนมเยว่เหลียงเป็นที่โปรดปราน พระโอรสจึงได้รับยกเว้นบ้าง จะเห็นพระพักตร์ขององค์ชายฝานจิ้งที่พระตำหนักเอินฉิงก็ต่อเมื่อมีพระเสาวนีย์ให้พระองค์ได้ทรงพระอักษรร่วมกับพี่น้องคนอื่น แต่ไม่นานนักก็ทรงหาเรื่องไปเรียนที่ตำหนักถงเหมิงของเสด็จอาหยิงหมิงกับเสด็จอาเฟยเสียนแทน เป็นที่รู้กันว่าพระองค์นั้นทรงรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เสด็จกลับวังหลวงครั้งนี้แค่เจ็ดวัน เวลาขององค์ชายฝานจิ้งหมดไปกับการเสด็จเยี่ยมเยือนเข้าตำหนักนั้นออกตำหนักนี้ แต่ที่ไม่ทรงเฉียด พระวรกายใกล้คือ...ตำหนักผีเสื้อ เพียงเพราะลมปากคนตำหนักนั้น เสด็จอาเฟยเสียนต้องสิ้นพระชนม์ที่มู่โจวซึ่งเป็นเมืองชายแดนแร้นแค้นทางตะวันตก ทำให้พระมารดาต้องจำพรากจากพระองค์ไป...ตลอดกาล เมื่อไร้แม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว ก็ทรงอยู่ในความดูแลของแม่อีกคนนานนับแปดปี หากพระองค์ไม่มีสายใยผูกพันกับคนตำหนักแสงจันทร์แล้ว...พระองค์ก็ไม่ทรงมีพระดำริที่จะกลับมาภายในห้องทรงพระอักษรของพระตำหนักไท่คุนแห่งวังหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแคว้นต้าฉาง ราชโอรสองค์รองฝานจิ้งเข้าเฝ้าพระบิดาอยู่ตามลำพัง“เจ้าจะไปประจำที่ด่านเวิ่นติ้งรึ เพิ่งจะกลับเข้าวังหลวงก็จะขอย้ายไปอีกที่ ทำไมไม่อยู่ช่วยงานข้าที่นี่เล่า” “ข้างกายเสด็จพ่อมีรัชทายาท องค์ชายสามและเหล่าเสนาบดีอีกมากมาย ทูลตามตรงเกล้ากระหม่อมไม่ชินกับการใช้ชีวิตที่เมืองหลวงนัก ชีวิตทหารที่เมืองหน้าด่านจะทำประโยชน์แทนคุณให้แผ่นดินต้าฉางได้มากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิเสินตี้ถอนพระปัสสาสะ เมื่อใจคนเป็นลูกคิดจะไป ตรัสห้ามอย่างไรก็คงไม่อยู่ แต่สิ่งที่ลูกกล่าวมานั้นก็เป็นความจริง แม้เวลานี้แผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่ปัญหาเมืองหน้าด่านที่ถูกรุกรานจากแว่นแคว้นน้อยใหญ่โดยรอบนั้นเรื้อรังมานาน บ้านเรือนราษฎรถูกปล้นสะดมอยู่เนืองๆ ผู้คนหนีตายกระจัดกระจาย เมื่อเกิดเป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว จะกระทำเพิกเฉยต่อชีวิตราษฎรก็หาควรไม่ ต้าฉางเป็นผืนแผ่นดินที่เหล่าบรรพชนแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต สมควรแล้วจะส่งคนมีฝีมือไปปกครองเพื่อดูแลชีวิตไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลพระโอรสองค์รองเลือกใช้ชีวิตแบบทหารและติดตามพระอนุชาของพระองค์นามหยิงหมิงไปประจำที่ชายแดนตั้งแต่สิบเจ็ดชันษา ฝานจิ้งเป็นดั่งเงาตามตัวเสด็จอาพระองค์นั้น ในช่วงแรกพระองค์ทรงคัดค้านด้วยมีพระประสงค์ให้องค์ชายประทับและใช้ชีวิตอยู่ในรอบรั้วเขตกำแพงเมือง แต่ลูกคนนี้ขึ้นชื่อนักในความดื้อ หัวรั้นและใจเด็ด บ่อยครั้งมักแอบหนีออกนอกกำแพงเมืองท่องไปทั่ว ไม่กริ่งเกรงว่าจะกริ้ว เขาเร้นกายหายไปนานเกือบอาทิตย์โดยไม่รู้ข่าวคราวเลยก็มี ฝีมือด้านเพลงดาบเพลงกระบี่ไม่เป็นรองแก่ผู้ใด คู่ประลองนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าราชองครักษ์ฝีมือเลิศหรือไม่ก็เหล่าทหารของหมิงอ๋องที่หมุนเวียนมาถวายงานถ่ายทอดวิชาให้ แม้ถึงคราวประลององค์ชายฝานจิ้งสั่งทหารไม่ให้ออมมือ แต่ใครเล่าจะกล้าทำให้ตกซึ่งหยาดพระโลหิต...สักวันพวกท่านจะตายเพราะประมาทเรา! เสียงของลูกรักองค์น้อยยามถูกขัดใจยังดังก้องในความทรงจำคราใดที่รู้ว่าพระองค์มีพระประสงค์เรียกเข้าห้องทรงพระอักษร พระโอรสเป็นต้องหลบลี้หนีพักตร์ หนีก่อน...แล้วค่อยมารับพระอาญาทีหลัง ต่างจากองค์ชายเทียนหลง องค์ชายหนานลี้และพระโอรสองค์อื่นๆ ที่คอยเข้าเฝ้าใกล้ชิดหมุนเวียนถวายงานมิได้ขาด เป็นที่รู้กันว่าพระโอรสองค์รองไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ พระองค์จักรพรรดิเสินตี้นั้นทรงเข้าพระทัยดีว่าองค์ชายฝานจิ้งยังมีปมกับพระองค์ ลูกนั้นรักด้วยความเป็นผู้ให้กำเนิด ทว่าผู้ให้กำเนิดก็เป็นเหตุที่ทำให้มารดาต้องตาย พระองค์ทรงรักพระสนมเยว่เหลียงมาก ความผิดใดที่พระสนมทำ พระองค์พระราชทานอภัยโทษให้ได้ทุกอย่าง แต่การคบชู้นั้นยากเกินจะทรงทำใจได้ หลักฐานมัดแน่นปรากฏแก่พระเนตร ชู้ไม่ใช่คนไกลหากแต่เป็นพระอนุชาร่วมราชมารดา โทษประหารนั้นละเว้นได้ แต่โทษจองจำนั้นต้องทำตามระเบียบวังหลังต้องประจานไว้ให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง!เทียนหลงซึ่งเป็นองค์รัชทายาทนั้นปรีชาด้านราชการงานเมือง แต่กลับมีพลานามัยอ่อนแอ เนื่องจากพระมเหสีทรงพระครรภ์เมื่อพระชนมายุมากแล้ว หนานลี้เป็นพระโอรสเกิดจากพระสนมไป๋ฮวา งานราชการนั้นยังเป็นรอง ความรอบคอบรอบรู้ยังด้อย ฝีมือกระบี่ดีทว่าใจร้อน ยังเอาแต่ใจตนอยู่มาก ส่วนพระโอรสพระธิดาที่เหลือล้วนยังเยาว์และด้อยประสบการณ์นัก ที่พระองค์ทรงอยากฝากฝังให้เคียงบ่าเคียงไหล่องค์รัชทายาทก็มีพระโอรสองค์รอง แม้ท่าทีภายนอกของฝานจิ้งดูเหมือนไม่สนใจความเป็นไปใดๆ แต่เหตุใดจะไม่ทรงทราบว่าแท้จริงแล้วพระโอรสองค์นี้ปรีชายิ่งและเป็นเลิศในทุกด้าน เพียงเพราะไม่อยากอยู่ใกล้พระองค์ ฝานจิ้งจึงทำตัวเหมือนไม่เป็นโล้เป็นพายกับงานราชการในเมืองหลวง ทรงเข้าพระทัยว่าลูกรักเลือกแล้วที่จะหลบให้ห่างงานในกำแพงวัง เมื่อพระองค์ทรงเรียกตัวพระโอรสกลับวังด้วยหวังให้ออกห่างจากอนุชาต่างมารดาบ้าง พระโอรสกลับขอพระอนุญาตไปประจำการที่อื่นแทนเสียนี่‘เกล้ากระหม่อมขอเป็นแขนเป็นขาให้องค์รัชทายาท สอดส่องแทน พระเนตรพระกรรณเสด็จพ่อที่ชายแดนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ’ คำอธิบายมีเพียงเท่านั้น คำแทนตัวเหินห่าง ไม่มีอีกแล้ว ลูกอย่างนั้น...ลูกอย่างนี้ โกรธพ่อถึงขนาดอยู่ร่วมกันไม่ได้เชียวหรือไร...
น่าติดตาม
16/01
0สนุกมากๆเลยครับ
17/12
0อ่านสนุกมาก
01/12
0View All