การเดินทางมาที่จวนของแม่ทัพใหญ่ไม่ยากเย็นอะไรนัก ทันทีที่มาถึงหน้าประตู หลี่อวี้อ๋องก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดจากปกติ เมื่อฉีฟ่างแจ้งว่าเจ้านายของเขาต้องการพบกับท่านแม่ทัพ ก็ได้รับคำตอบว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพมีแขกเข้าพบอยู่ก่อนแล้ว“แขกหรือ” เขาทวนคำ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นแขกที่สำคัญมากทีเดียว ทุกอย่างถึงได้มีการคุ้มกันแน่นหนาและดูเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้“ขอรับ”“ข้าจะรอ”“ถ้าเช่นนั้นก็เรียนเชิญท่านด้านในขอรับ ข้าน้อยจะไปรายงานนายท่านให้”“เดี๋ยว ยังไม่ต้องรายงาน รอให้แม่ทัพเสร็จธุระกับแขกก่อนก็ได้”“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งหลี่อวี้อ๋องให้ฉีฟ่างรออยู่ด้านนอก ตัวเองก็เดินเข้ามาในจวนอันร่มรื่น มีลานขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางแบบบ้านของผู้มีอันจะกินทั่วไป เขาสอดส่ายสายตา หวังว่าจะเห็นกูเหนียงน้อยที่ตนเองลงทุนตามหาหลี่อวี้อ๋องไม่ได้เจอแม่ทัพมู่หรงเป็นการส่วนตัวหรือคุยธุระด้วยมานานแล้ว สาเหตุเพราะตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข ร้างราจากศึกสงครามมาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้มีข่าวกบฏชายแดนขึ้นมาพอดี และเขาก็กำลังสืบเรื่องนี้อยู่ การจะหาเหตุผลมาที่นี่ จึงไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไรดูท่าเขาคงไม่ได้พบว่าที่พ่อตาในเร็ว ๆ นี้ ศาลาที่เห็นอยู่ไม่ไกล จึงน่าจะใช้เป็นที่นั่งรอแก้เบื่อได้ดีกว่า เขาจึงเดินเลี่ยงไปตามทางเดินปูหิน นั่งรับลมเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันไปเห็นแขกคนสำคัญที่เพิ่งเดินออกมาตรงลานบ้านพอดิบพอดี“ไป่ชาง ?” หลี่อวี้อ๋องเกิดความประหลาดใจ ได้แต่สงสัยว่ามีเหตุผลอะไรที่ไป่ชางหรือองค์ชายชางจะต้องมาคุยกับแม่ทัพถึงที่ เพราะหากมีธุระเร่งด่วน ให้คนมาเรียกตัวไม่กี่อึดใจก็ได้พบแล้วเขาตัดสินใจเดินออกจากศาลาเพราะมันเป็นจุดที่จะทำให้ถูกพบเจอได้ง่ายเกินไป แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อ เสียงคุยด้วยสำเนียงที่เจือความมีชีวิตชีวาก็ดังมาตามทางเดินด้านหลัง เขาเลยไม่มีเวลาให้คิดมาก นอกจากหลบอยู่ตรงไหนสักที่เสียก่อน“คุณหนูอย่าลืมที่ฮูหยินกำชับเชียวนะเจ้าคะ พบองค์ชายทั้งที ห้ามเสียมารยาทหรือทำให้วงศ์ตระกูลเสียหน้าเด็ดขาด”“โอย…เจ้าก็ย้ำราวกับเป็นร่างแยกของท่านแม่อีกคน ข้าจะไปทำเสียมารยาทได้อย่างไร คอขาดได้เชียวนา”เขายิ้มออกมากับบทสนทนานั้นขณะมองนางเดินเข้าไปหาไป่ชางที่ก็ตรงเข้ามาหานางทันทีเช่นกัน“องค์ชายเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ” สาวใช้คู่กายเดินตัวลีบออกไปอีกทางอย่างรู้งานเห็นดังนั้นหัวสมองของหลี่อวี้อ๋องพลันร้อนรนครุ่นคิด ไป่ชางผู้มีศักดิ์เป็นหลานเขา ถูกวางตัวให้อภิเษกสมรสกับมู่หรงเยว่ชิงงั้นหรือ ไม่อย่างนั้นจะเสด็จมาถึงนี่เพื่ออะไร ด้วยเหตุผลนี้เสด็จพี่ถึงได้แต่งตั้งให้นางเป็นถึงท่านหญิงสินะเหตุผลที่คิดได้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยังคงแฝงกายสังเกตการณ์ต่อไป เพราะสิ่งที่เขาหมายตาไว้แล้ว ใครหน้าไหนก็มิอาจแย่งไปได้ แม้บุคคลผู้นั้นจะเป็นหลานแท้ ๆ ก็ตาม หากเป็นอย่างที่เขาคิด คงต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่โดยด่วน“คารวะองค์ชาย” มู่หรงเยว่ชิงย่อตัวลงอย่างงดงาม ก่อนจะส่งยิ้มที่มัดใจใครต่อใครมาให้ แม้แต่ไป่ชางเองก็ถึงกับชะงักไปราวกับต้องมนตร์“ลุกขึ้นเถิด” ชายหนุ่มประคองนางในดวงใจให้ลุกขึ้น“ขอบพระทัยเพคะ”“ข้าต้องขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้า แต่เพราะแวะมาหาท่านแม่ทัพกะทันหัน และได้เอาของฝากจากพวกตะวันตกมาให้เจ้าด้วย จึงไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”“องค์ชายอย่าตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ” นางแสร้งทำเป็นออกตัวแล้วค่อยพูดต่ออย่างไร้เดียงสา “แต่...จริงหรือเพคะ เรื่องที่ว่าทรงนำของขวัญมาให้หม่อมฉัน” ดวงตาของหญิงสาววาบวับ มันดูละโมบแต่ในสายตาของไป่ชางกลับดูน่ารักไร้จริตมารยา“จริงสิ เป็นของที่สตรีทั้งหลายเห็นแล้วจะต้องอิจฉาเจ้าแน่นอน ของหายากเสียด้วย” เขาพูดให้นางกระตือรือร้นอยากรู้มากขึ้น“แต่หม่อมฉันมิบังอาจ รับของที่สูงค่าไปกว่าตัวเองหรอกเพคะ” นางทำเป็นเจียมตัว“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจหาอะไรมาให้เจ้าได้แล้วล่ะ”คำพูดเป็นนัยที่เปรียบนางไว้สูงกว่าเพชรนิลจินดาใด ๆ นับว่ามีชั้นเชิงเสียจริง แม้หลี่อวี้อ๋องจะสนิทชิดเชื้อกับไป่ชางดีเพราะอายุไม่ห่างกันมากนัก แต่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าหลานคนนี้จะมีคารมคมคายถึงเพียงนี้ เขาคงต้องทำอะไรบางอย่าง“องค์ชายหมายความว่าหม่อมฉันมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เงินกองโต หรือ...” นางถามต่อและคงไว้ซึ่งท่าทางไร้เดียงสา แต่เห็นจะมีเพียงผู้เดียวกระมังที่มองออก และคนผู้นั้นเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุรุษที่หลบอยู่หลังน้ำตกจำลอง เขาอดลอบยิ้มไม่ได้ ลองนางเสแสร้งอย่างนี้ เขาคงคิดว่าหลานชายของเขาคนนี้สำหรับนางคงมิต่างจากบุรุษอื่นที่มาเกี้ยวพานางกระมัง“ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด” ไป่ชางตอบทันควันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด“เยว่ชิงเขลาเกินกว่าจะเข้าใจได้ ว่าตัวเองล้ำค่าแค่ไหน ในเมื่อไม่เคยมีของเหล่านั้นให้เปรียบเทียบ” นางทอดถอนใจ ดวงตาสั่นไหวราวกับกำลังฝันถึงสิ่งที่ไม่อาจเอามาครอบครอง แล้วก็ได้แต่นั่งเศร้าสลดแต่จะว่ากันตามจริงแล้ว บิดาของนางมั่งคั่งเกินกว่าขุนนางครึ่งราชสำนักมารวมกันเสียอีก แต่ทั้งนี้ไม่ใช่มาจากการฉ้อฉล เพราะตระกูลของท่านตาทวดหรือท่านตาของท่านพ่อ ทั้งยังตระกูลฝั่งมารดาของนางล้วนเป็นคหบดีใหญ่ อีกทั้งบิดานางเองยังรับใช้บ้านเมืองอย่างเต็มที่มาตลอด ออกรบกี่ครั้งก็กำชัยชนะกลับมา ทำให้ได้รับของพระราชทานต่าง ๆ มากมาย และของเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา หรือที่ดินหลายร้อยหมู่ บิดาล้วนยกให้มารดาเป็นผู้จัดการ มารดาของนางซึ่งมาจากตระกูลการค้าจึงจัดการให้ทรัพย์สินงอกเงยขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว“ข้าจะหาของมากมายมาให้เจ้า เมื่อนั้น เจ้าจะได้เข้าใจว่าในที่สุดแล้ว ของพวกนั้นก็หาได้มีราคาเทียบเท่ากับตัวเจ้า ที่ข้าทุ่มเททุกอย่างให้” ไป่ชางบอกพลางจ้องดวงตาดอกท้อสุกสกาวตรงหน้ามู่หรงเย่วชิงออกอาการเอียงอาย ก้มหน้าลงแล้วหันหนี สองมือจับอยู่ตรงสายชายอาภรณ์แล้วบิดไปมาระบายความเขิน ซึ่งดูได้ยากว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงการซ่อนความดีอกดีใจที่จะได้รับพระราชทานสิ่งของราคาแพงถึงขนาดนั้นกันแน่“มันจะเป็นของมากมายเพียงใดกันนะ” นางรำพึงรำพัน“มากจนเจ้าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว”“หนึ่งหีบหรือเพคะ”“มากกว่านั้น”“หรืออาจจะเป็นสอง”“เจ้าพอใจเท่านั้นเองหรือ”“สตรีไม่ควรละโมบโลภมาก แม้บุรุษผู้นั้นจะนำมาเสนอให้ถึงที่ก็ตามที”นางช่างกล้าพูด! นี่เป็นความคิดของคนที่หลบซ่อนอยู่องค์ชายชางทำหน้าไม่เห็นด้วย “ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น”“ยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเยว่ชิง ใช่หรือไม่เพคะ” นางแสร้งทำเป็นออกความเห็นแบบเด็ก ๆ อีกครั้งความฉลาดในการเอาตัวเองไปผูกกับบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรทำให้หลี่อวี้ทั้งขำและเอ็นดูนางในคราวเดียวกัน และยิ่งขบขันมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้าหลานโง่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเจอกับอะไร“แต่ความจริงแล้ว แค่เสื้อผ้าไม่กี่สิบชุด กับหีบที่อัดแน่นไปด้วยแก้วแหวนเงินทองสี่ห้าหีบ ก็พอจะทำให้จิตใจของหม่อมฉันปิติสุขได้แล้วล่ะเพคะ”“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรีบส่งของกำนัลมาให้เจ้าโดยเร็วที่สุด”“ขอบพระทัยเพคะ” นางย่อตัวลงเชื่องช้า ยังคงกิริยาของสตรีที่ได้รับการอบรมมาดี แต่แทบจะปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิดจะว่ามารยาก็ไม่ใช่ จะว่าเหลี่ยมจัดก็ไม่เชิง จะว่าไร้เดียงสาหรือก็ไม่ถูกต้องนัก นางเพียงแต่ใช้ลูกอ้อน ความงาม และการพูดจาไปเรื่อยของตัวเอง แต่อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มน้อย ๆ และท่าทางอันเป็นธรรมชาตินั่นกระมัง ที่ทำให้ใครต่างยอมเต็มใจตกลงไปในหลุมพรางของนางเมื่อใดก็ตามที่เยว่ชิงร้องด้วยความดีใจ ดวงตาเบิกโตเห็นประกายวาววับฉายฉาน ท่าทางร่าเริงอย่างฉับพลันเมื่อได้สมปรารถนา มันก็ทำให้บุรุษทุกผู้ทุกนามลืมเหตุผลไปจนสิ้นสำหรับหลี่อวี้อ๋องแล้ว เขาอยากรู้นักว่านางยังจะมีไม้เด็ดอะไรอีกบ้าง ยังต้องการของนอกกายเหล่านี้ไปจนถึงเมื่อไหร่จึงจะหยุด นางมีเพียงความต้องการทรัพย์สมบัติจริงหรือไม่ หัวใจดวงน้อย ๆ ยังจะมีความรักมอบให้ใครอีกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัยและเขาจะต้องได้รู้ ได้เป็นคนเดียวที่ยลโฉมนาง และแม้คู่แข่งจะเป็นหลานชาย แต่คนอย่างหลี่อวี้อ๋อง มีหรือจะยอมถอยให้ใคร หากต้องการสิ่งนั้นขึ้นมาแขกคนสำคัญกลับไปแล้ว เขาตั้งใจจะพบบิดาของนางโดยไม่ให้นางเห็น เพราะไม่อยากให้ไก่ตื่น แต่เยว่ชิงดันหูดี ได้ยินแม้แต่เสียงย่ำเท้าแผ่วเบา ตอนที่เขากำลังจะเดินอ้อมไปอีกทาง และนางเดินผ่านตรงนี้พอดี“หยุดนะ นั่นใครกัน” เสียงเล็กร้องถาม พร้อมทั้งก้าวฉับ ๆ เข้ามาหา โดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยว่าเขาอาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำให้นางตกอยู่ในอันตรายชายหนุ่มหันกลับไปหา จ้องนางแน่นิ่ง แช่สายตาอยู่ที่ใบหน้าซึ่งรับกันทุกส่วน ทั้งคิ้ว ดวงตา จมูกและปาก โดยเฉพาะปากสีแดงเรื่อตัดกับผิวขาวผ่อง“ข้าก็แค่คนที่มาขอเข้าพบท่านแม่ทัพ ขอตัว” เขาตัดบท รีบหมุนตัวกลับหลัง“เดี๋ยวสิ ถึงจะมาหาท่านพ่อ แต่ท่านก็ไม่ควรเดินเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้นะ นี่...ท่าน”เสียงของนางยังดังไล่หลังไม่หยุด แต่เขารีบเลี้ยวตรงหัวมุม เจอกับบ่าวรับใช้และขอให้นำทางไปหาแม่ทัพมู่หรงทันทีแต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของเยว่ชิง เสียงของนาง ใบหน้าของนาง ดวงตาดอกท้อสุกสกาว และริมฝีปากราวกับผลอิงเถาชุ่มฉ่ำ ที่รบกวนจิตใจ จนต้องได้มาครอบครอง ถึงจะดับความร้อนรุ่มนี้ไปได้“ท่านอ๋อง!”“ข้ามีธุระจะคุยกับท่าน”“เรื่องอะไรหรือพะย่ะค่ะ”“เยว่ชิง”
ดีมากกก
1d
0วาสว
2d
0ดีี
8d
0View All