logo
logo-text

Download this book within the app

Chapter 4 นรี

“นี่คืองานของผม” นายคีตาเปิดคอมพิวเตอร์และดึงข้อมูลที่เขาทำอยู่มาให้ฉันดู เขาบอกว่ามันเป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อประมวลผลอะไรบางอย่าง จอสีเทา ๆ เต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษรวมกับสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่ให้ฉันอ่านอีกสามวันก็คงอ่านไม่รู้เรื่อง
“ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลย มีแต่ตัวหนังสืออะไรไม่รู้ อ่าน
ไม่รู้เรื่อง”
“นี่เขาเรียกว่าชุดคำสั่ง มีไว้สำหรับให้เครื่องคอมฯ มันประมวลผลหรือคิดตามกระบวนการอย่างที่เราต้องการ เราสามารถให้มันบวกเลข ลบเลข หรือคำนวณผลบางอย่างได้โดยที่เราไม่ต้องทำเอง ทำเป็นระบบบัญชี ระบบรักษาความปลอดภัย หรือว่าการประมวลผลเพื่อพยากรณ์ภูมิอากาศของประเทศก็ได้”
“เป็นง่อยกันพอดี อะไร ๆ ก็ให้คอมฯ ทำให้ต่อไปก็ไม่ต้องคิดอะไรกันละ” ฉันบ่นอุบอิบ
คนที่ทำท่าทางภูมิใจกับเครื่องมือหากินของตนเองถอนหายใจ ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
“แล้วรูปของคุณล่ะ ให้อะไรบ้างนอกจากเอาไว้ดูเล่น ดูนาน ๆ ก็เบื่อ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสักอย่าง”
“คนไม่มีศิลปะในหัวใจ รูปของฉันเอาไว้ดูเพื่อให้เกิดความรู้สึกทางใจย่ะ”
“แบบดูได้ แต่กินไม่ได้ ใช่ไหม”
ฉันสะบัดหน้ากลับ เดินออกจากห้องพักของเขาทันที “พูดอย่างนี้อย่าพูดกันดีกว่า พูดกันคนละภาษา”
“ขี้งอนเป็นบ้า แน่ละซี้ ผมมันพูดภาษาสคริปต์ คุณมันพูดภาษาแอบสแตร็กต์” ฉันได้ยินเสียงเขาบ่นเบา ๆ ก่อนออกจากห้อง เห็นทีเราจะสงบศึกกันได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ตอนเย็นออกจะน่าเบื่อและเงียบเหงา หลังจากอ่านหนังสือจบไปหลายหน้า ฉันก็ปิดมันวางไว้ตรงหัวเตียงอย่างเบื่อ ๆ นายคีตาหายเงียบเข้าไปทำงานในห้องอีกแล้ว ไม่รู้จะขยันไปถึงไหน อย่างนี้น่าจะได้รางวัลพนักงานดีเด่นจากพี่นุ
ฉันตัดสินใจโทร. ไปหาเจ้านัท เพื่อนร่วมคณะที่มาเปิดร้านอาหารกึ่งผับและทำทัวร์เล็ก ๆ อยู่ที่ชะอำ ให้มันมารับไปนั่งฟังเพลงและรำลึกความหลังกันจนเกือบตีสองจึงได้พามาส่งที่บ้านพัก
“ไปไหนมา” เสียงเครียด ๆ ของผู้ชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก เขามีคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วอยู่ตรงหน้า หนังสือที่ฉันเคยเห็นระเกะระกะอยู่ในห้องของเขาออกมากองอยู่ด้านนอกหมดแล้ว
ทำเสียงยังกับพ่อ พี่นุเองยังไม่เคยถามฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ฉันบ่นในใจ
“ไปเที่ยว” ฉันตอบ ทำท่าไม่สนใจเขา ตั้งใจจะเดินขึ้นชั้นบน
“ไปไหนมาไหนบอกกันบ้างก็ดีนะ เกิดเป็นอะไรเจ้านุมันจะมา
แหกอกผมเอา”
“ฉันอายุเกินยี่สิบแล้วนะไม่ใช่ห้าขวบ อยู่กรุงเทพฯ ฉันกลับบ้านตอนเช้าออกบ่อยไป” ฉันหันไปตอบเขาด้วยเสียงห้วนขึ้นมาทันที เขาเป็นใคร กล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้
“เกินยี่สิบแต่ยังคิดไม่เป็นนี่นา” เขาเองก็ตอบเสียงดังไม่แพ้กัน “ที่นี่มันต่างจังหวัดนะคุณ ไม่ใช่กรุงเทพฯ ผมจะไปรู้ได้ไงว่าคุณซ่าก๋ากั่นมากแค่ไหน คุณเป็นน้องสาวของเพื่อน อย่างน้อยผมควรจะดูแลเท่าที่ทำได้”
เขาเป็นห่วงฉัน ประโยคร้าย ๆ ที่เขาตะโกนใส่หน้ามันสรุปได้แบบนั้น แต่ฉันทิฐิเกินกว่าที่จะรับผิด
พี่นุรักและตามใจฉันมากด้วยความที่เป็นน้องสาวคนเดียว และเขาไม่กล้าที่จะใช้คำแบบนี้กับฉัน ไม่เคยดุ ไม่เคยห้ามในสิ่งที่ฉันทำ
บางครั้งการตามใจของพี่นุก็ทำให้ฉันคิดว่าพี่ชายไม่สนใจไยดี
ฉันเลย
“คงไม่มีคราวหลังให้คุณว่าฉันหรอก” ฉันยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ เดินตึง ๆ ขึ้นบันไดเข้าห้องพัก
มันจะอะไรกันนักกันหนาเชียวกับแค่ไปเที่ยวกับเพื่อนกลับตีสอง อยู่กรุงเทพฯ ตระเวนเที่ยวจนเช้ายังไม่มีใครว่าสักคำ
ทำไมก็ไม่รู้ หลังจากอาบน้ำแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ฉันกลับนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหรือคำพูดร้าย ๆ ของนายคีตาตามมาหลอกหลอน ในที่สุดก็ต้องลุกมาหาหนังสืออ่านจนหลับไปเอง
ตอนเช้า ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความปวดหัว คิดจะลงไปหาอะไร
เย็น ๆ ดื่มในครัว ปรากฏว่าคนที่มีปากเสียงด้วยเมื่อวานยืนอยู่ในนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“ทำอะไรกินน่ะ หอมจัง” ฉันเปิดตู้เย็น หยิบนมมารินใส่แก้ว ถามเขาราวกับว่าเมื่อคืนเราไม่ได้ทะเลาะกันสักนิด
คนที่กำลังต้มอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาไม่ได้หันมา ทำหน้าตาเรียบเฉย
“ทำเผื่อฉันหรือเปล่า…หิว”
หน้าตาของคนที่ทำกับข้าวอยู่ยังบึ้งเหมือนเมื่อคืน “ไปหยิบชามมาใบหนึ่ง ตักข้าวใส่จานด้วย”
ฉันอมยิ้ม ลุกขึ้นไปหยิบของตามคำสั่งโดยดี
“ตื่นสายนะ เป็นผู้หญิงยังไงนอนตื่นเก้าโมง”
ขี้บ่นชะมัด ฉันคิดในใจ หน้าตาดีแต่ขี้บ่นเป็นบ้า อย่างนี้ใครเอาไปเป็น “สามี” คงซวยตาย
“เมื่อคืนนอนดึก กินเหล้ามาด้วยเลยปวดหัว” ฉันตอบ ชะโงกหน้าไปมองแกงจืดวุ้นเส้นที่หน้าตาดูน่ากินแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย นายคีตานี่ถ้าตกงาน (เพราะปากร้ายทำลายจิตใจฉัน พี่นุเลยไล่ออก) แล้วไปเปิดร้านอาหารคงจะรุ่ง
“เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีเสียให้เข็ด” เขาบ่น
ผู้ชายคนนี้...มีดีอยู่อย่างเดียวจริง ๆ ฉันย้ำกับตัวเอง
“เมื่อคืนพี่คุณอีเมล[1]มาถามว่าจะกลับเมื่อไหร่”
“อีเมล?”
“เคยใช้หรือเปล่า โปรแกรมคุยกันผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์น่ะ” เขาอธิบาย
“ฉันไม่รู้จักอะไรที่มันใช้เทคโนโลยีอะไรแบบนั้นหรอก”
เขาทำหน้าตาราวกับเห็นตัวประหลาด “ไม่รู้จัก! สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็รู้จักกันทั้งนั้น”
“เคยได้ยินนะ แต่ฉันมันเป็นพวกปฏิเสธเทคโนโลยี”
คนที่กินข้าวอยู่ส่ายหัวก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
“รู้สึกว่านายนุจะห่วงคุณมากนะ เขาสั่งผมว่าให้พาคุณกลับด้วยพรุ่งนี้”
“งานของคุณเสร็จแล้วหรือไง”
“เสร็จแล้วประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ผมต้องกลับไปทดสอบให้ลูกค้าดูขั้นต้นก่อนจะทำโปรแกรมสำเร็จรูปส่งให้เป็นขั้นสุดท้าย”
แสดงว่าที่เขาแสดงความห่วงใยฉันเมื่อวานก็เพราะพี่นุ เจ้านายสั่งนี่ ลูกน้องจะไม่ทำตามได้ยังไง
“ฉันไม่กลับ คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“คุณจะอยู่ยังไงคนเดียว แถวนี้ออกจะเปลี่ยว ไม่มีรถไปไหนมาไหนก็ลำบาก
ฉันรวบช้อน อิ่มขึ้นมาเสียเฉย ๆ ฉันมันพวกโรคจิตไม่ชอบให้ใครสั่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“วันนี้ฉันไปวาดรูปทั้งวันนะ กลางวันจะหาข้าวกินเอง เย็นก็นัดกับเพื่อนไว้ จะกลับดึกนะไม่ต้องรอ อ้อ... แล้วช่วยบอกพี่นุด้วยนะว่า ฉันอยู่ของฉันได้มาตั้งหลายปี ไม่ต้องคิดมาเป็นห่วงอะไรกันตอนนี้หรอก”
.
.
.
ฉันพิจารณาภาพร่างคร่าว ๆ ของห้องนอนแบบ ‘เรียบแต่เก๋’
ที่ลูกค้าคนใหม่ตั้งโจทย์ไว้ให้อย่างพอใจ งานชิ้นนี้เป็นงานที่เข้ามาหลังจากงานตกแต่งคอนโดฯ ของคุณกฤษณ์เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นงานที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่นาน ๆ ทำงานแบบนี้สักครั้ง เปลี่ยนบรรยากาศจากการออกแบบตกแต่งโรงแรมหรือสำนักงานหรู ๆ มันช่วยทำให้ความเบื่อลดลงได้เหมือนกัน
ฉันทำงานชิ้นนี้อย่างตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะออกจะชอบใจลักษณะโครงสร้างเดิมของบ้านที่ค่อนข้างลงตัว และเจ้าของบ้านที่ไม่จู้จี้จุกจิกอะไรเลย เขาติดต่อให้บริษัทของฉันตกแต่งบ้านให้โดยไม่มีคำสั่งอะไรเป็นพิเศษ นอกจากจะแต่งบ้านเป็นเรือนหอ เอาแบบง่าย ๆ และสบาย ๆ มากที่สุด โดยเน้นโทนสีฟ้าเท่านั้น
ลูกค้าแบบนี้สามปีจะมีมาสักราย
ลักษณะของงานตกแต่งภายในจะมีความยุ่งยากตรงที่คนออกแบบต้องเล่นกับความพอใจของลูกค้า ถ้าเจอลูกค้าที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ (แต่ไม่มีหัวทางศิลปะ) งานตกแต่งบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งอาจกลายเป็นศาลเจ้าจีนได้ในที่สุด มีลูกค้าน้อยรายนักที่แจ้งรายละเอียดในการออกแบบมาไม่มากนักแบบนี้
งานออกแบบชิ้นนี้ฉันไม่ได้ไปดูสถานที่ตั้งของบ้านด้วยตัวเอง แต่ผู้ช่วยของฉันไปถ่ายรูปและเอาแผนผังของบ้านมาให้แล้ว มันจึงทำให้ทำงานได้ง่ายมากขึ้น
“เจ้าของบ้านเขาไม่ระบุอะไรเลยเหรอคะหัวหน้า” ฉันหอบภาพสเกตช์ไปให้หัวหน้าดูเพื่อขอความเห็นก่อนที่จะลงสีและใส่รายละเอียดเพิ่มเติม อดจะถามถึงเจ้าของบ้านไม่ได้
 “แล้วอย่างนี้นรีจะรู้ได้ยังไงว่าเขาพอใจหรือเปล่า”
“ท่าทางลูกค้าคนนี้เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก เห็นบอกว่ายังไงก็ได้แล้วแต่ดิไซเนอร์” คุณเดชาตอบ
“นรีว่าจะนัดคุยกับเขา เอาภาพร่างคร่าว ๆ ให้เขาดูก่อนดีไหมคะ”
“เอาสิ ผมจะนัดให้ ให้เขามาที่บริษัทไหม”
“อะไรนะคะ!” ฉันร้องอย่างตกใจ โดยปกติเราจะต้องเอาแบบไปเสนอลูกค้า ไม่ใช่นัดให้ลูกค้ามาดูแบบที่บริษัท
รายนี้อาจจะเป็นลูกค้ารายเล็ก คุณเดชาเลยดูจะไม่เอาใจใส่สักเท่าไหร่ ปล่อยให้ฉันรับหน้าที่ติดต่อทุกอย่างเองหมด
“อะ เอาเบอร์ของเขาไป แล้วโทร. ไปถามว่าจะเอาไง”
ฉันรับเบอร์โทรศัพท์มาและโทร. ไปทันที
[1] ในช่วงที่เขียนนิยายเรื่องนี้ การใช้อีเมลยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนทั่วไปอยู่มาก

Book Comment (212)

  • avatar
    ทวีพงษ์ ธีระภู่สงวน

    ได้ความรู้ต่างๆ

    1d

      0
  • avatar
    Phinyaphat Px

    อ่านฟินสุดๆ

    1d

      0
  • avatar
    พิชานันท์ ฯ.

    สนุกมากๆค่ะ อ่านเพลินสุดๆ

    3d

      0
  • View All

Related Chapters

Latest Chapters