คุณชายเถียนเยวี่ยสั่งให้นางนั่งลงกินข้าว และนางก็เชื่อฟังเขา ฟังเยว่ฉิวเข้าใจว่าทั้งสองคงเป็นญาติหรือพี่น้องกันการกินอาหารเช้าดำเนินไปเงียบๆ เด็กสาวคนนั้นเหลือบมองนางบ่อยครั้ง พอๆ กับเมียงมองชายหนุ่มคนเดียวซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ และเมื่อมื้ออาหารเช้าผ่านพ้นไป ก็ถึงคราวที่เขาได้กล่าวแนะนำตัวนางขึ้น“นางชื่อฟังเยว่ฉิว”“ข้าชื่อหลันซิ่วจู” เด็กสาวรีบแนะนำตัว นั่นทำให้ฟังเยว่ฉิวรู้ว่าทั้งสองไม่ใช่พี่น้อง “พี่ฟังเดินทางมาจากที่ใด เสี่ยวจูขออภัยที่เสียมารยาท ไม่ได้ต้อนรับตั้งแต่เมื่อคืน”เถียนเยวี่ยซ่อนรอยยิ้มไว้ระหว่างยกชาขึ้นจิบ “ข้ามาจากเมืองไท่ซา เมื่อคืนพบเจอเหตุร้ายกะทันหัน ห่อผ้าและเงินถูกแย่งชิง จึงได้รับน้ำใจจากผู้มีคุณ เสี่ยวฟังขอบคุณคุณชายเถียน ขอบคุณคุณหนูหลันอีกครั้ง” นางประสานมือคารวะ “หากท่านไม่รังเกียจก็อยู่ทำงานที่นี่กับพวกเราได้นะ”“ขอบคุณคุณหนูหลัน ข้าคงอยู่รบกวนพวกท่านสักพัก หากเสร็จธุระก็คงขอตัวกลับบ้านเกิด ไม่อยู่เป็นภาระ”ผู้พูดหันไปสบตาเถียนเยวี่ย ในดวงตาเศร้าสร้อยนั้นพร่าด้วยม่านน้ำตา มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าธุระสำคัญของนางคือเรื่องใด...สามวันต่อมา แม้นเตรียมใจชั่งเหตุผลถ้วนถี่ล่วงหน้าทั้งร้ายและดี หากแต่ละก้าวของฟังเยว่ฉิว ล้วนแบกรับความวิตกกังวลต่อปฏิกิริยาแรกของคนเป็นสามีเมื่อได้พบหน้านางอยู่ดีครั้นเมื่อเดินมาถึงยังหน้าประตูใหญ่สีน้ำตาลแดงของจวนแม่ทัพเผิง หญิงสาวก็กระทบห่วงเหล็กเคาะเรียกคนที่อยู่ภายใน รออยู่ชั่วครู่ ประตูก็ถูกเปิดออก นางบอกบ่าวชายเฝ้าประตูว่ามีของจะคืนให้แม่ทัพเผิงเซิ่งอี้ เขาจึงให้นางรออยู่ก่อนแล้วกลับเข้าไปเรียกพ่อบ้านใหญ่ออกมาจัดการธุระที่เกินกว่าเขาจะตัดสินใจได้เอง “นายน้อยออกไปทำธุระนอกจวน เจ้าสามารถฝากสิ่งของไว้กับข้าได้” หลี่เฉาบอกหญิงสาวแปลกหน้าที่เข้ามาหลบแดดใต้หลังคาประตูใหญ่“ข้าจำเป็นต้องพบนายน้อยของท่าน ขอให้ข้าได้อยู่รอเขาและพูดคุยสักประโยค”หลี่เฉาตวัดสายตามองใบหน้าซึ่งมีรอยแผลเป็นชัดเจนของนาง สงสัยอยู่ครามครันว่านายน้อยไปรู้จักหญิงสาวนางนี้ได้เช่นไร “เจ้ามาจากที่ใด”“เมืองไท่ซาเจ้าค่ะ”พอได้ยินว่ามาจากเมืองที่พบตัวเผิงเซิ่งอี้ หลี่เฉาก็หายกลับเข้าไปในจวน โดยแอบกำชับให้คนงานคอยจับตาดูฟังเยว่ฉิวไว้ อย่าเพิ่งให้ไปไหน พ่อบ้านสูงวัยหายตัวไปราวหนึ่งเค่อ ก็กลับออกมาแล้วเรียกให้หญิงอัปลักษณ์ตามคนเฝ้าประตูไปเข้ายังประตูด้านหลังของจวน ครั้นเดินเข้าประตูหลัง ก็พบเส้นทางคดเคี้ยว ทำเอานางต้องยกมือปาดเหงื่อไปหลายหน กระทั่งเดินมาบรรจบกับพ่อบ้านสูงวัยที่ยืนรออยู่บนทางเดินซึ่งปูด้วยแผ่นศิลา หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีแดงสด มีเสาสีเขียวเรียงรายเป็นทางยาว หลี่เฉานำทางฟังเย่วฉิวไปยังเรือนหลังคาสีเขียวไข่กา และมาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่ง หน้าห้องมีสาวใช้นางหนึ่งยืนอยู่ “นายหญิงรอเจ้าอยู่ในห้อง อย่ามัวอิดออดร่ำไรจนเสียมารยาท” หลี่เฉาเร่ง เมื่อเห็นหญิงสาวที่เดินตามเหลือบหน้าแลหลังมองสำรวจไปทั่วถึงในใจจะหวั่นหวาดปานใด แต่มาถึงขั้นนี้ หญิงสาวต่างเมืองทำได้เพียงเผชิญหน้ากับคนที่รออยู่ภายในห้อง เหมยเหม่ยเปิดประตูแล้วส่งฟังเยว่ฉิวเข้าไปในห้อง เมื่อประตูปิดลง หญิงสาวคล้ายดั่งกำลังเดินเข้าถ้ำที่ภายในมีเสือร้ายรอซุ่มอยู่ สายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนักของสตรีวัยกลางคนที่เพ่งมองมา ทำให้เลือดในกายแข็งตัว กล้ามเนื้อนางห่อหดลงกระนั้น เบื้องขวาของหญิงที่คาดว่าเป็นเจ้าบ้านมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนขนาบ และเบื้องซ้ายบนเก้าอี้ก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยรุ่นราวคราวเดียวกับนาง สายตาทั้งสามคู่กำลังจ้องมองนางเป็นจุดเดียว“พบหน้านายหญิง ยังไม่คุกเข่าอีกหรือ!” หญิงที่ยืนอยู่ตวาดขึ้นฟังเยว่ฉิวลนลานรีบคุกเข่าลง ก้มจนหน้าผากติดพื้น นางกล่าวขออภัยที่เสียมารยาทโดยไม่รู้ความ“เจ้าชื่ออะไร” จ้าวนีถาม“ฟังเยว่ฉิวเจ้าค่ะ”“เลิกสั่นได้แล้ว เข้ามาใกล้ๆ นายหญิง” ฟังเยว่ฉิวจึงหมอบคลานเข้าไปใกล้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ทั้งสองก็ผงะ เบือนหน้าหน ฉงอวี้หลิงมีอาการตื่นตกใจมากกว่าใครเพื่อน“ใบหน้านาง ทำไมน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้!”หญิงสาวบ้านป่าหน้าชาวูบ ผิดที่นางไม่อำพรางใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเอง โดยลืมคิดไปว่ามีแต่นางที่คุ้นชินกับมัน“เจ้าบอกว่ามีป้ายหยกของลูกชายข้า” หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณงดงามเอ่ยถาม นางเป็นมารดาของชายหนุ่มนั่นเองฟังเยว่ฉิวรีบตอบรับแล้วยื่นป้ายหยกขาวมันแพะในมือให้นายหญิงจวนแม่ทัพเผิงรับไปหยกชิ้นนี้คุ้นตายิ่งกว่าคุ้น นั่นเพราะเป็นนางเองที่สั่งให้ช่างทำขึ้นเป็นพิเศษสองชิ้น สำหรับมอบให้บุตรชายทั้งสองคน ‘เผิงอีและเผิงเอ้อร์’“หยกนี่เป็นของเผิงเอ้อร์จริงๆ” มารดาของเผิงเซิ่งอี้ขยิบตาให้จ้าวนีไปตรวจประตูห้องให้แน่ใจว่า นอกจากเหมยเหม่ยแล้วไม่มีคนนอกแอบฟัง นางไม่อยากให้เรื่องภายในเล็ดลอดออกไป“เจ้าได้หยกชิ้นนี้มาอย่างไร เก็บได้หรือว่า...” “พี่ต้าเผิงให้ข้าไว้เจ้าค่ะ” ฟังเยว่ฉิวสบตานายหญิงของจวนใหญ่พี่ต้าเผิง...ฉงอวี้หลิงสะท้านวาบในอก ความหวาดกลัวของนางเห็นเป็นจริงอยู่ตรงหน้านี้แล้ว หญิงสาวเพ่งมองคนที่คุกเข่าเบื้องหน้ามากขึ้น ที่ผ่านมาเผิงเซิ่งอี้ไม่ได้เลอะเลือนหรือคิดไปเอง เรื่องเคยมีคนเรียกเขาว่า พี่ต้าเผิง ชายหนุ่มเกี่ยวข้องกับหญิงอัปลักษณ์จริงๆ แน่แล้ว!“ทำไมเขาถึงให้เจ้า ของชิ้นนี้สำคัญกับเขามาก เขาไม่ควรให้คนนอกง่ายๆ”คนนอก ฟังแล้วสะอึก พยายามไม่ตื่นกังวลกับความรังเกียจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของสตรีฐานะสูงส่ง นางเป็นมารดาของเผิงเซิ่งอี้ ควรต้องให้ความเคารพนาง ฟังเยว่ฉิวไม่อยากปิดปัง อย่างไรเสีย เรื่องที่นางเป็นภรรยาของชายหนุ่มก็คือความจริง “ข้า...ข้าเป็นภรรยาของเขา”“บังอาจ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดเหลวไหลอะไรออกมา” คราวนี้คนที่ตวาดฟังเยว่ฉิวคือฉงอวี้หลิง“ระวังปากของเจ้าไว้ ข้าสั่งโบยเจ้าได้นะ!” มารดาเผิงเซิ่งอี้ตบโต๊ะดังปังจนฟังเยว่ฉิวสะดุ้ง ละล่ำละลักอธิบายความจริงทั้งหมด“ข้าพูดความจริง ไม่ได้โกหก เขามอบป้ายหยกให้ข้า ส่วนข้ามอบเชือกถักให้เขา พี่ต้าเผิงกลับบ้านพร้อมเชือกถักหรือไม่ ได้โปรดให้ข้าพบหน้าเขาสักครั้งนะเจ้าคะ”ฉงอวี้หลิงแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ นางหันไปสบตากับนางถังจิ่วหยิน ต่างคนต่างรู้แก่ใจและเห็นเชือกถักลายปลาคู่เส้นนั้นกับตา ผู้เป็นมารดาของแม่ทัพหนุ่มเก็บเชือกถักเส้นนั้นไว้ และหลงลืมจะกล่าวถึงอีก ส่วนนางบำเรอของเขานั้น การไม่กล่าวถึงสิ่งของที่จะนำพาให้เขาระลึกถึงเรื่องราวในอดีต นั่นเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำที่สุด!“ไม่...ไม่มีเชือกถักที่เจ้าพูดถึง”
ชอบมากๆค่ะ
25/05
0สนุก
11/11
0Xem tất cả