logo
logo-text

Tải xuống cuốn sách này trong ứng dụng

13

คุณชายเถียนเยวี่ยสั่งให้นางนั่งลงกินข้าว และนางก็เชื่อฟังเขา ฟังเยว่ฉิวเข้าใจว่าทั้งสองคงเป็นญาติหรือพี่น้องกัน
การกินอาหารเช้าดำเนินไปเงียบๆ เด็กสาวคนนั้นเหลือบมองนางบ่อยครั้ง พอๆ กับเมียงมองชายหนุ่มคนเดียวซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ และเมื่อมื้ออาหารเช้าผ่านพ้นไป ก็ถึงคราวที่เขาได้กล่าวแนะนำตัวนางขึ้น
“นางชื่อฟังเยว่ฉิว”
“ข้าชื่อหลันซิ่วจู” เด็กสาวรีบแนะนำตัว นั่นทำให้ฟังเยว่ฉิวรู้ว่าทั้งสองไม่ใช่พี่น้อง “พี่ฟังเดินทางมาจากที่ใด เสี่ยวจูขออภัยที่เสียมารยาท ไม่ได้ต้อนรับตั้งแต่เมื่อคืน”
เถียนเยวี่ยซ่อนรอยยิ้มไว้ระหว่างยกชาขึ้นจิบ
“ข้ามาจากเมืองไท่ซา เมื่อคืนพบเจอเหตุร้ายกะทันหัน ห่อผ้าและเงินถูกแย่งชิง จึงได้รับน้ำใจจากผู้มีคุณ เสี่ยวฟังขอบคุณคุณชายเถียน ขอบคุณคุณหนูหลันอีกครั้ง” นางประสานมือคารวะ
“หากท่านไม่รังเกียจก็อยู่ทำงานที่นี่กับพวกเราได้นะ”
“ขอบคุณคุณหนูหลัน ข้าคงอยู่รบกวนพวกท่านสักพัก หากเสร็จธุระก็คงขอตัวกลับบ้านเกิด ไม่อยู่เป็นภาระ”
ผู้พูดหันไปสบตาเถียนเยวี่ย ในดวงตาเศร้าสร้อยนั้นพร่าด้วยม่านน้ำตา มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าธุระสำคัญของนางคือเรื่องใด...
สามวันต่อมา แม้นเตรียมใจชั่งเหตุผลถ้วนถี่ล่วงหน้าทั้งร้ายและดี หากแต่ละก้าวของฟังเยว่ฉิว ล้วนแบกรับความวิตกกังวลต่อปฏิกิริยาแรกของคนเป็นสามีเมื่อได้พบหน้านางอยู่ดี
ครั้นเมื่อเดินมาถึงยังหน้าประตูใหญ่สีน้ำตาลแดงของจวนแม่ทัพเผิง หญิงสาวก็กระทบห่วงเหล็กเคาะเรียกคนที่อยู่ภายใน รออยู่ชั่วครู่ ประตูก็ถูกเปิดออก นางบอกบ่าวชายเฝ้าประตูว่ามีของจะคืนให้แม่ทัพเผิงเซิ่งอี้ เขาจึงให้นางรออยู่ก่อนแล้วกลับเข้าไปเรียกพ่อบ้านใหญ่ออกมาจัดการธุระที่เกินกว่าเขาจะตัดสินใจได้เอง
“นายน้อยออกไปทำธุระนอกจวน เจ้าสามารถฝากสิ่งของไว้กับข้าได้” หลี่เฉาบอกหญิงสาวแปลกหน้าที่เข้ามาหลบแดดใต้หลังคาประตูใหญ่
“ข้าจำเป็นต้องพบนายน้อยของท่าน ขอให้ข้าได้อยู่รอเขาและพูดคุยสักประโยค”
หลี่เฉาตวัดสายตามองใบหน้าซึ่งมีรอยแผลเป็นชัดเจนของนาง สงสัยอยู่ครามครันว่านายน้อยไปรู้จักหญิงสาวนางนี้ได้เช่นไร
“เจ้ามาจากที่ใด”
“เมืองไท่ซาเจ้าค่ะ”
พอได้ยินว่ามาจากเมืองที่พบตัวเผิงเซิ่งอี้ หลี่เฉาก็หายกลับเข้าไปในจวน โดยแอบกำชับให้คนงานคอยจับตาดูฟังเยว่ฉิวไว้ อย่าเพิ่งให้ไปไหน พ่อบ้านสูงวัยหายตัวไปราวหนึ่งเค่อ ก็กลับออกมาแล้วเรียกให้หญิงอัปลักษณ์ตามคนเฝ้าประตูไปเข้ายังประตูด้านหลังของจวน
ครั้นเดินเข้าประตูหลัง ก็พบเส้นทางคดเคี้ยว ทำเอานางต้องยกมือปาดเหงื่อไปหลายหน กระทั่งเดินมาบรรจบกับพ่อบ้านสูงวัยที่ยืนรออยู่บนทางเดินซึ่งปูด้วยแผ่นศิลา หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีแดงสด มีเสาสีเขียวเรียงรายเป็นทางยาว หลี่เฉานำทางฟังเย่วฉิวไปยังเรือนหลังคาสีเขียวไข่กา และมาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่ง หน้าห้องมีสาวใช้นางหนึ่งยืนอยู่
“นายหญิงรอเจ้าอยู่ในห้อง อย่ามัวอิดออดร่ำไรจนเสียมารยาท” หลี่เฉาเร่ง เมื่อเห็นหญิงสาวที่เดินตามเหลือบหน้าแลหลังมองสำรวจไปทั่ว
ถึงในใจจะหวั่นหวาดปานใด แต่มาถึงขั้นนี้ หญิงสาวต่างเมืองทำได้เพียงเผชิญหน้ากับคนที่รออยู่ภายในห้อง
เหมยเหม่ยเปิดประตูแล้วส่งฟังเยว่ฉิวเข้าไปในห้อง เมื่อประตูปิดลง หญิงสาวคล้ายดั่งกำลังเดินเข้าถ้ำที่ภายในมีเสือร้ายรอซุ่มอยู่ สายตาไม่เป็นมิตรเท่าไรนักของสตรีวัยกลางคนที่เพ่งมองมา ทำให้เลือดในกายแข็งตัว กล้ามเนื้อนางห่อหดลงกระนั้น เบื้องขวาของหญิงที่คาดว่าเป็นเจ้าบ้านมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนขนาบ และเบื้องซ้ายบนเก้าอี้ก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยรุ่นราวคราวเดียวกับนาง สายตาทั้งสามคู่กำลังจ้องมองนางเป็นจุดเดียว
“พบหน้านายหญิง ยังไม่คุกเข่าอีกหรือ!” หญิงที่ยืนอยู่ตวาดขึ้น
ฟังเยว่ฉิวลนลานรีบคุกเข่าลง ก้มจนหน้าผากติดพื้น นางกล่าวขออภัยที่เสียมารยาทโดยไม่รู้ความ
“เจ้าชื่ออะไร” จ้าวนีถาม
“ฟังเยว่ฉิวเจ้าค่ะ”
“เลิกสั่นได้แล้ว เข้ามาใกล้ๆ นายหญิง”
ฟังเยว่ฉิวจึงหมอบคลานเข้าไปใกล้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ทั้งสองก็ผงะ เบือนหน้าหน ฉงอวี้หลิงมีอาการตื่นตกใจมากกว่าใครเพื่อน
“ใบหน้านาง ทำไมน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้!”
หญิงสาวบ้านป่าหน้าชาวูบ ผิดที่นางไม่อำพรางใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเอง โดยลืมคิดไปว่ามีแต่นางที่คุ้นชินกับมัน
“เจ้าบอกว่ามีป้ายหยกของลูกชายข้า” หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณงดงามเอ่ยถาม นางเป็นมารดาของชายหนุ่มนั่นเอง
ฟังเยว่ฉิวรีบตอบรับแล้วยื่นป้ายหยกขาวมันแพะในมือให้นายหญิงจวนแม่ทัพเผิงรับไป
หยกชิ้นนี้คุ้นตายิ่งกว่าคุ้น นั่นเพราะเป็นนางเองที่สั่งให้ช่างทำขึ้นเป็นพิเศษสองชิ้น สำหรับมอบให้บุตรชายทั้งสองคน ‘เผิงอีและเผิงเอ้อร์’
“หยกนี่เป็นของเผิงเอ้อร์จริงๆ” มารดาของเผิงเซิ่งอี้ขยิบตาให้จ้าวนีไปตรวจประตูห้องให้แน่ใจว่า นอกจากเหมยเหม่ยแล้วไม่มีคนนอกแอบฟัง นางไม่อยากให้เรื่องภายในเล็ดลอดออกไป
“เจ้าได้หยกชิ้นนี้มาอย่างไร เก็บได้หรือว่า...”
“พี่ต้าเผิงให้ข้าไว้เจ้าค่ะ” ฟังเยว่ฉิวสบตานายหญิงของจวนใหญ่
พี่ต้าเผิง...ฉงอวี้หลิงสะท้านวาบในอก ความหวาดกลัวของนางเห็นเป็นจริงอยู่ตรงหน้านี้แล้ว หญิงสาวเพ่งมองคนที่คุกเข่าเบื้องหน้ามากขึ้น ที่ผ่านมาเผิงเซิ่งอี้ไม่ได้เลอะเลือนหรือคิดไปเอง เรื่องเคยมีคนเรียกเขาว่า พี่ต้าเผิง
ชายหนุ่มเกี่ยวข้องกับหญิงอัปลักษณ์จริงๆ แน่แล้ว!
“ทำไมเขาถึงให้เจ้า ของชิ้นนี้สำคัญกับเขามาก เขาไม่ควรให้คนนอกง่ายๆ”
คนนอก ฟังแล้วสะอึก พยายามไม่ตื่นกังวลกับความรังเกียจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของสตรีฐานะสูงส่ง นางเป็นมารดาของเผิงเซิ่งอี้ ควรต้องให้ความเคารพนาง
ฟังเยว่ฉิวไม่อยากปิดปัง อย่างไรเสีย เรื่องที่นางเป็นภรรยาของชายหนุ่มก็คือความจริง
“ข้า...ข้าเป็นภรรยาของเขา”
“บังอาจ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดเหลวไหลอะไรออกมา” คราวนี้คนที่ตวาดฟังเยว่ฉิวคือฉงอวี้หลิง
“ระวังปากของเจ้าไว้ ข้าสั่งโบยเจ้าได้นะ!” มารดาเผิงเซิ่งอี้ตบโต๊ะดังปังจนฟังเยว่ฉิวสะดุ้ง ละล่ำละลักอธิบายความจริงทั้งหมด
“ข้าพูดความจริง ไม่ได้โกหก เขามอบป้ายหยกให้ข้า ส่วนข้ามอบเชือกถักให้เขา พี่ต้าเผิงกลับบ้านพร้อมเชือกถักหรือไม่ ได้โปรดให้ข้าพบหน้าเขาสักครั้งนะเจ้าคะ”
ฉงอวี้หลิงแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ นางหันไปสบตากับนางถังจิ่วหยิน ต่างคนต่างรู้แก่ใจและเห็นเชือกถักลายปลาคู่เส้นนั้นกับตา ผู้เป็นมารดาของแม่ทัพหนุ่มเก็บเชือกถักเส้นนั้นไว้ และหลงลืมจะกล่าวถึงอีก
ส่วนนางบำเรอของเขานั้น การไม่กล่าวถึงสิ่งของที่จะนำพาให้เขาระลึกถึงเรื่องราวในอดีต นั่นเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำที่สุด!
“ไม่...ไม่มีเชือกถักที่เจ้าพูดถึง”

Bình Luận Sách (2)

  • avatar
    สุภาพรฯ สิงห์คำ

    ชอบมากๆค่ะ

    25/05

      0
  • avatar
    ศุภกิจ ปิ่นเกตุ

    สนุก

    11/11

      0
  • Xem tất cả

Các chương liên quan

Chương mới nhất