logo text
Thêm vào thư viện
logo
logo-text

Tải xuống cuốn sách này trong ứng dụng

Chương 7 ดำดิ่งสู่นครบาดาล

ปรทิพย์ตื่นนอนในตอนเช้าพบว่าฝ้ายไม่อยู่ในห้องแล้ว เธออนุมานว่าเพื่อนสาวไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส เพราะช่วงนี้มักบ่นเสมอว่ากำลังอวบระยะสุดท้าย ทันใด เธอนึกสนุกยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก จึงรีบลุกอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เวลานี้เป็นโอกาสเหมาะจะหลบออกไปข้างนอก ยัยฝ้ายฉันจะทำให้เธอปวดหัวแหละวันนี้
ปรทิพย์ผ่านลอบบี้ไปอย่างง่ายดาย อาศัยช่วงกรุ๊ปทัวร์เรียกรวมตัวลูกทีมยามเช้า ทำให้หลบสายตาพนักงานโรงแรมแฝงเข้ากลุ่ม อีกทั้งเธอสวมหมวกทรงขอทานสามารถช่วยอำพรางได้เป็นอย่างดี
เมื่อหลบออกนอกโรงแรมได้ ปรทิพย์รีบเดิน เธอก้มหน้าเร่งฝีเท้าให้พ้นอาณาเขตโรงแรม ด้วยเกรงมีคนรู้จักมาพบเจอ แต่แล้วเธอต้องชะงักเมื่อรถยนต์หรูสีดำสนิทจอดเทียบตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีทึมก้าวลงมายืนตระหง่าน
“อ้าว คุณสโรธร...” น้ำเสียงปรทิพย์ประหลาดใจ
“จะไปไหนครับ”
ปรทิพย์ทำหน้าเลิกลั่ก มองซ้ายมองขวา เดินเข้าใกล้แล้วกระซิบว่า “ขออาศัยไปลงแยกข้างหน้าได้ไหมคะ”
สโรธรนาคินทร์ยิ้มละไมแทนคำตอบ แล้วผายมือให้เธอขึ้นรถ
“ขอบคุณค่ะ”
ปรทิพย์ยิ้มใส แปลกใจตัวเอง ทุกครั้งที่เจอผู้ชายคนนี้เธอแอบปิติยินดีอยู่เบื้องลึก วันนี้ก็เช่นกันไม่มีคำตอบอีกเช่นเคย ทำไม นั่นสิทำไมเธอขึ้นรถไปกับเขาอย่างง่ายดาย ราวคุ้นเคยกันมานานนับปี ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเธอเพิ่งรู้จักและพูดคุยกันไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำ
“หนีใครมาหรือ” สโรธรนาคินทร์เริ่มบทสนทนา เมื่อรถวิ่งออกจากโรงแรม
“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไม ทำท่าทางเหมือนเด็กหนีออกจากบ้าน”
คำถามนี้ ทำปรทิพย์หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดว่า “ดิฉันโกหกไม่เนียนเลยใช่ไหม”
สโรธรนาคินทร์ยิ้ม พยักหน้า
ปรทิพย์คลี่ยิ้ม หันมองสโรธรนาคินทร์ด้วยสายตาสดใส
“รับก็ได้ ดิฉันหนีเพื่อนค่ะ คุณปู่คุณย่าส่งมาเฝ้า และบังคับให้ดิฉันอยู่แต่ในโรงแรม จนกว่าจะ จะ...” เธอชะงัก เพราะคำพูดถัดไปคือ แต่งงาน แต่ทำไมเมื่อเธอมองหน้าเขาแล้วจึงพูดไม่ออก
สโรธรนาคินทร์เหมือนรู้ว่าเธอไม่ต้องการพูดเรื่องแต่งงาน จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ผมมีของมาคืน”
“ว้าว มุกเม็ดนั้น ดิฉันนึกว่าหายไปแล้ว”
ปรทิพย์หยิบขึ้นมาส่อง แสงอาทิตย์จับประกายวาววับ
สโรธรนาคินทร์ทอดสายตามองหญิงสาว เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกประหลาดบังเกิดขึ้น เขาไม่เข้าใจ นี่คือความรู้สึกอะไร
“คุณทำหล่น วันที่เป็นลม”
“อ้อ วันนั้น” ปรทิพย์รับไข่มุกเม็ดนั้นไว้ จ้องมอง แล้วพูดต่อว่า “คงหล่นหายตอนชุลมุน...”
“วันนั้น ผมเป็นคนช่วยคุณไว้เอง”
“คุณนะเองที่บอกพนักงานว่า ดิฉันถูกกิ่งไม้ตำ”
ปรทิพย์ยังหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น งูใหญ่ตัวเขื่อง กับรอยเล็กๆ 2 รอยนั่น แม้ยังคงค้างคาใจ แต่สุดท้ายเธอต้องยอมรับ รอยนั่นเป็นรอยกิ่งไม้จริงๆ เพราะไม่อย่างนั้น เธอคงไม่มีลมหายใจอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
“กิ่งไม้ตำครับ ผมจะโกหกคุณทำไม” สโรธรนาคินทร์ยังคงย้ำ
ปรทิพย์ยิ้ม ใช่ เขาโกหกเธอแล้วได้อะไร นั่นสินะ
“โอเค กิ่งไม้ ก็กิ่งไม้ ยังไงต้องขอบคุณนะคะ”
“คุณจะไปไหนครับ เดี๋ยวผมให้คนขับไปส่ง”
“แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่ ดิฉันขอลงข้างหน้าแล้วกัน”
“อย่าเกรงใจ ผมยินดีครับ”
“อุ๊ย ถึงแยกแล้ว ขอลงตรงนี้ค่ะ” เธอเสียงแจ๋ว หันมองหน้าสโรธรนาคินทร์อีกครั้ง
ครานี้ เธอย้ำกับตัวเองว่า ลง ลง ลงรถไปเดี๋ยวนี้... เธอต้องเอาตัวออกห่างเขาโดยด่วนก่อนหัวใจจะหวั่นไหวไปกว่านี้
“ไม่ให้ไปส่ง จริงๆ หรือ” สโรธรนาคินทร์ถามอีกครั้ง
“ค่ะ” น้ำเสียงตอบรับหนักแน่น ทั้งที่ใจปรทิพย์อยากถามต่อว่า เราจะเจอกันอีกไหม แต่เธอสะกดความรู้สึกไว้ แปลก จู่ๆ เธอก็ห่วงหาอาวรณ์เขาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
พี่พงศ์ทัศ...ใบหน้าเขาตระหง่านขึ้นมาในหัว ทำเธอรวบรวมสติ ให้กลับมาโลกปัจจุบันอีกครั้ง ใช่ ฉันกำลังจะแต่งงาน อีกไม่กี่วันข้างหน้า
“อนันตะ จอดตามที่คุณผู้หญิงบอก”
“ขอรับ” อนันตะนำรถจอดเทียบข้างทางทันที
“ขอบคุณค่ะ”
สโรธรนาคินทร์พยักหน้ารับ ปรทิพย์หันมองเขาอีกครั้ง
นี่ คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเจอกันสินะ ลาก่อน นายชื่อยาวเป็นกิโล...ปรทิพย์กล่าวอำลาในใจ
เธอก้าวลงรถ ยื่นนิ่ง สุดท้ายอดไม่ได้จะหันกลับไปมอง สโรธรนาคินทร์เช่นกัน มองตามจนเธอลับตา
หลังจากลงรถปรทิพย์หาร้านอร่อยนั่งชมนกชมไม้ปล่อยอารมณ์ ไม่นานนักโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายดังขึ้น เธอหยิบดูแล้วยิ้มมุมปากแล้วกดปิดเครื่องในทันที นั่น ทำฝ้ายเต้นฝาง วิ่งพล่านทั่วโรงแรมอย่างร้อนใจ
มารผจญ ฉันไม่เชื่อหรอก ดูสิ ยัยฝ้ายจะทำอะไรได้
ปรทิพย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใจเธอคิดแกล้งแก้เซ็ง ป่านนี้ฝ้ายคงป่วนหัวปั่น เมื่อถูกตัดสายทิ้ง เธอเดินไปเรื่อยๆ จนมองไปเห็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ จึงตรงดิ่งไปซื้อตั๋ว แวะเข้าไปเดินเล่นให้เย็นใจ ก่อนคิดทำอะไรต่อในวันนี้
เมื่อได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ปรทิพย์เดินตามผู้คนมากมายที่เข้าไปเที่ยวชม บ้างไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำ บ้างก็เข้าไปเดินดูเล่นเพื่อฆ่าเวลาอย่างเธอ ความจริงเธอเคยมาพิพิธภัณฑ์นี้แล้วหลายครั้ง ในแต่ละครั้งสัตว์น้ำในที่แห่งนี้สร้างความสุขให้เธออย่างประหลาด และครั้งนี้เช่นกัน เธอเดินทอดน่อง มองปูปลานานาพันธุ์ ยิ้มละไมให้พวกมันอย่างมีความสุข
พลัน จมูกเธอได้กลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นเครื่องหอมกำยานโบราณ กลิ่นนั้นแรงขึ้น แรงขึ้น จนเธอต้องหยุด มองหาทิศทางของกลิ่น
พระเจ้าช่วย! นี่มันอะไร! เพียงแค่เธอกระพริบตา ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าผาเสียแล้ว
“เป็นไปไม่ได้...”
ปรทิพย์พึมพำ เมื่อพบตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งใหม่
“ฉันฝัน ฉันฝัน ฉันป่วย ฉันป่วย มันคือภาพหลอน...”
เธอพร่ำบอกตัวเอง
ภาพหลอน มันคือภาพหลอน...ปรทิพย์สะกดตัวเอง ก่อนหลับตาปี๋ หวังลืมตาอีกครั้ง จะกลับไปยืนในพิพิธภัณฑ์ดังเดิม
“อ้ายยยย...”
เธอร้องไม่เป็นภาษา เพราะเมื่อลืมตา ยังอยู่ที่เดิม
นั่น ไม่ชวนขนลุกเท่าสัตว์ประหลาดตรงหน้า มันแสยะยิ้ม เห็นเขี้ยวแหลม นัยน์ตาโปนแดง น่ากลัว
ปรทิพย์ผงะ อ้าปากค้าง ความกลัวปะทุขีดสุด เมื่อมันก้าวประชิด จนได้กลิ่นสาปฉุน
มันตัวอะไร!!
เมือกเยิ้มหยดแหมะๆ ชวนให้สะอิดสะเอียน เธออยากกรีดร้อง แต่เหมือนมีก้อนอะไรจุกตรงคอหอย อี้ๆๆๆๆ...มันแลบลิ้น หมายโลมเลียใบหน้าสวย ไม่ไหวแล้วววว...
ปรทิพย์ตัดสินใจ กระโดดหน้าผาทันที
ตูมมมม...
ในเวลาเดียวกันนั้นเองภายในโรงแรมริมชลกำลังวุ่นวาย เพราะปรทิพย์หายไปไร้ร่องรอย ฝ้ายเป็นคนสุดท้ายที่เจอ
ปรทิพย์หายไปไร้ร่องรอย...
เรื่องนี้เมื่อรู้ถึงหูนายพลปรเมศวร์จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น พงศ์ทัศน์เองก็ร้อนใจได้ให้เพื่อนที่เป็นนายตำรวจท้องที่เข้าสืบหาหลักฐาน ฝ้ายให้ข้อมูลกับตำรวจว่าปรทิพย์นอนหลับอยู่ในห้องตอนเธอไปออกกำลังกาย และเมื่อกลับห้องก็พบแต่ห้องว่างเปล่า ครั้งแรกฝ้ายคิดว่าปรทิพย์ไปนั่งทำงานในออฟฟิศของโรงแรม แต่เมื่อสอบถามพนักงาน กลับไม่มีใครพบเห็นเธอแม้เงา
เมื่อปรทิพย์ลืมตา เธอพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่มในห้องโอ่โถงกว้างใหญ่ ถูกตกแต่งไว้อย่างตระการตา หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ที่ไหนกัน?
เธอลุกจากเตียง เดินสำรวจรอบๆ ข้าวของเครื่องใช้แต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นสีทองสุกปลั่ง
โอ้โห ทองคำแท้หรือเปล่า
เธอตาวาว ยกมือลูบไล้ฝาผนัง นั่นถูกสลักด้วยลวดลายวิจิตรพิสดาร
“ท่านฟื้นแล้ว” เสียงใสของสาวน้อยดังขึ้น
ปรทิพย์หันไปมอง
“เธอ...” เธอเดินเข้าใกล้ กวาดตาสำรวจสาวน้อย เธอเดินวนรอบเด็กสาวเพราะอาภรณ์นั้นสวยงามแปลกตา ดูเหมือนคอสตูม ในละครจินตนิยายจักรๆ วงศ์ๆ ช่อง 7 เสียจริง...
“กำลังถ่ายหนังกันใช่ไหม” ปรทิพย์เอ่ยถามเหมือนใจคิด
“เปล่า เจ้าค่ะ”
“อ้าว แล้วที่นี่ ไม่ใช่สตูดิโอถ่ายหนังหรอกหรือ” เมื่อไม่ได้คำตอบกระจ่าง ปรทิพย์เริ่มจินตนาการกว้างไกล
“สะ-ดู-โอ้ อะไรเจ้าคะ” สาวน้อยออกเสียงผิดๆ
“สตูดิโอ หรือโรงถ่ายภาพยนตร์นะ รู้จักไหม ถ่ายหนัง”
สาวน้อยสั่นหน้า ทำตางงงวย
“เอ๊ะ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน”
“ไม่ใช่ สะ-ดู-โอ้ เจ้าค่ะ ที่นี่คือ คันตะนครบาดาล”
“คัน-ตะ-นคร-บา-ดาล” ปรทิพย์ทวนซ้ำ ชัดถ้อยคำ ก่อนขมวดคิ้ว นิ่วหน้า
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านนอนหลับไป 3 ราตรีนะเจ้าคะ”
“ฉันนี่นะ นอนหลับไป 3 คืน จริงหรือ...” ปรทิพย์ย้ำ ใบหน้าสวยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เธอเริ่มฉุกคิด หมุนตัวไปรอบๆ มองอย่างหวาดระแวง เด็กสาวตรงหน้าพูดศัพท์ไม่คุ้นหู แต่งตัวดูแปลก เครื่องใช้ไม้สอยและของทุกอย่างดูประณีตไม่เหมือนของคนทั่วไปใช้กัน
ทุกอย่างในห้องนี้เป็นของจริงหรือภาพลวงตากันแน่ ปรทิพย์เริ่มสับสน ทำไมตัวเองอยู่ที่นี่ และมาได้อย่างไร คำถามมากมายเกิดขึ้น เธอจำภาพสุดท้ายได้ก็คือ...พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ...
เอ๊ะ! แล้วอะไรต่อไปล่ะ
“ที่นี่ปลอดภัยเจ้าค่ะ” เสียงสาวน้อย ทำปรทิพย์หันกลับมาจ้องหน้าเด็กสาวอีกครั้ง ความวิตกกังวล ตามมาด้วยความฉงนสงสัยที่ได้ก่อตัวเป็นริ้วๆ
“ฉันมาที่นี่ได้อย่างไร”
“เจ้าน้อยพาท่านมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าน้อย?” ปรทิพย์เสียงสูง เมื่อได้ยินตัวละครใหม่
เจ้าน้อยเป็นใคร??
“ท่านรับอาหารก่อนนะเจ้าคะ หากต้องการอะไรเพิ่มเรียกข้าน้อยได้”
“เดี๋ยว จะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร”
“ข้าน้อยชื่อกายะเจ้าค่ะ เชิญรับประทานอาหาร ข้าน้อยจัดสำรับไว้เรียบร้อยแล้ว”
สาวน้อยแนะนำตัว แล้วผายมือไปที่ตั่งตัวใหญ่ เมื่อพูดจบกายะก็เดินจากไป ทิ้งปรทิพย์ให้อยู่ลำพังกับถาดบรรจุอาหาร ความหิวทำปรทิพย์เดินมานั่งกินอาหารอย่างหิวโหย...ใช่สิ 3 วันที่เธอไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อจัดการอาหารตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดินสำรวจรอบห้องอย่างพิจารณา
“กายะ กายะ” ปรทิพย์เรียกกายะ
“เจ้าค่ะ”
“กายะจ้ะ ฉันอยากรู้ว่าเจ้าน้อยของเธออยู่ไหม”
“เจ้าน้อยไม่อยู่เจ้าค่ะ ไปเฝ้าท่านท้าว”
“ท่านท้าว?” ปรทิพย์ย่นคิ้ว
ตัวละครใหม่มาอีกแล้ว ท่านท้าว?
“ท่านท้าวคือเจ้าพ่อของเจ้าน้อยเจ้าค่ะ” กายะอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของปรทิพย์
“กายะ ฉันงงไปหมดแล้ว เจ้าน้อย ท่านท้าว ทั้งสองคนนี้ฉันก็ไม่รู้จัก ทำไมที่นี่ดูแปลกไปหมด ข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งเธอด้วย” ปรทิพย์เอามือจิ้มไปบนอกของกายะ แล้วพูดต่อว่า “...แล้วก็
คันตะนครบาดาล เมืองอะไรกัน งง ฉันงง แล้วเมืองนี้ อยู่ที่ไหน เธออย่าบอกนะว่า อยู่ใต้ดิน” ปรทิพย์พล่ามยาวเหยียด
“ถูกต้อง คันตะนครอยู่ใต้พิภพ ใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่” เสียงคุ้นดังขึ้นในทิศตรงกันข้าม
ปรทิพย์หันขวับ ส่วนกายะถอยฉากออกจากห้อง เพราะเสียงนั้นคือ ประกาศิต ทันทีที่เจ้าของเสียงปรากฏกาย ปรทิพย์ต้องตาโต
“คุณ!”
ปรทิพย์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก นั่น เขานะเอง คนชื่อยาวเป็นกิโล สโรธรนาคินทร์ดูแปลกตา อาภรณ์พร้อมเครื่องประดับวาววับ ปรทิพย์รีบก้มมองตัวเอง และเมื่อยกมือขึ้น ก็พบเครื่องประดับอร่ามทั้งแขนและขาเช่นเดียวกับเขา
“สบายดีแล้ว ใช่ไหม” สโรธรนาคินทร์ยิ้ม ขำอาการหญิงสาว
“คุณสโรธร คุณอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ปรทิพย์ดีใจ รีบเดินไปหา จนลืมเรื่องอาภรณ์ไปชั่วขณะ
“ครับ คุณปอยังไม่ตอบผมเลย สบายดีไหมครับ”
“สบายดีค่ะ แล้วคุณ...” ปรทิพย์จ้องหน้า แววตาสงสัย
“ผมอยู่ที่นี่” สโรธรนาคินทร์จึงพูดต่อ “คนที่นี่เรียกผมว่า เจ้าน้อย”
“เจ้าน้อย!” เธอประหลาดใจ ถามต่อไปว่า “เอ๊ะ เมื่อกี้ คุณว่าอะไร คันตะนครอยู่ไหนนะคะ”
“ผมบอกว่า เมืองนี้อยู่ใต้พิภพ ใต้มหาสมุทรกว้างใหญ่”
“อยู่ใต้ดินนี่นะ...” พูดจบ ปรทิพย์หัวเราะเบาๆ สีหน้าและแววตาไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด “พูดเล่นใช่ไหม”
“ผมพูดจริง”
“งั้นคุณก็ไม่ใช่...” เธอพูดไม่จบประโยค เพราะคำต่อไปที่จะออกมาคือ มนุษย์
“นาค ผมเป็นนาคราช ผู้สืบเชื้อสาย เจ้าผู้ครองนครบาดาลแห่งนี้”
“นาค...” แววตาชวนขันปรากฏบนวงหน้าสวย เธอทำหน้าเหมือนกำลังฟังนิยายปรัมปรา ก่อนพูดต่อว่า “แล้วทำไมคุณถึงดูเหมือนมนุษย์ได้ล่ะ”
“เรามีกายทิพย์ เมื่อพ้นนครบาดาลจะสามารถเนรมิตกายให้เป็นอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา แต่เมื่อกลับนครบาดาลเราจะมีลักษณะเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป”
“ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่ได้ โดยไม่เป็นอะไร”
“อำนาจแห่ง มณีนาคราช ในตัวคุณ”
มณีนาคราช อะไรอีกล่ะ ปรทิพย์ทำหน้าระอา
สโรธรนาคินทร์เดินเข้าใกล้ สีหน้าจริงจัง
“มณีนาคราช ทำให้มนุษย์อยู่ในนครแห่งนี้ เสมือนหนึ่งว่าเป็นนาค”
“ฉันงงไปหมด คุณพูดอะไรกัน แล้วทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ คุณพาฉันกลับบ้านได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ทำไม ขอเหตุผลหน่อยได้ไหม” ปรทิพย์มอง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม เวลานี้เธอไม่เข้าใจ เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“เพื่อความปลอดภัยของคุณ”
“คุณล้อเล่นหรือเปล่า”
“ผมไม่ได้ล้อเล่น” สโรธรนาคินทร์ย้ำ น้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ปรทิพย์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ใครกันปองร้าย ฉันไม่เคยบาดหมางกับใคร หรือคุณเป็นพวกเรียกค่าไถ่” ปรทิพย์ถอยฉาก ในหัวเริ่มจินตนาการกว้างไกล
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“คุณเป็นใครกันแน่” ปรทิพย์มองเขาอย่างหวาดหวั่น
“ดูนี่” สโรธรนาคินทร์ยกมือ วาดไปตรงหน้า
ทันใด บังเกิดภาพนิรมิต ภาพนั้นเธอยืนอยู่ตรงหน้าผา ถูกรายล้อมด้วยบรรดาสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์น้ำ เธอกลัว วิ่งหนีสุดชีวิตจนสุดหน้าผา สัตว์ประหลาดพวกนั้นเดินบี้เข้าใกล้ เธอจึงตัดสินใจกระโดดลงไปเบื้องล่าง แล้วทุกอย่างก็มืดสนิทลง
เมื่อเธอกระพริบตาอีกครั้ง ภาพก็พลันหายไป
ปรทิพย์ส่ายหน้า ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น นายสโรธรคนนี้กำลังเล่นอะไร
“คุณเล่นมายากลหรือ”
“ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง นั่นไม่ใช่มายากลแต่เป็นเหตุการณ์จริง เกิดขึ้นกับคุณเมื่อ 3 วันก่อน คุณกระโดดหน้าผา หนีพวกนั้น และกำลังจมดิ่งลงทะเล ผมช่วยคุณ แล้วพาคุณมาที่นี่” สโรธรนาคินทร์พยายามอธิบาย
“ทำไมคุณไม่ส่งฉันกลับบ้าน” ปรทิพย์ถามต่อ
“กลับบ้าน นั่นคุณจะเป็นอันตราย”
แต่เมื่อสโรธรนาคินทร์มองหน้าสวย ก็รู้ทันที เขาคงต้องอธิบายอีกยาว
“คุณสโรธร ฉันจะมีอันตราย จากอะไร?”
ปรทิพย์จ้องใบหน้าเข้ม ประกายตาใสเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ในสิ่งที่สงสัย อะไรเป็นอันตราย อะไร อะไรกัน
“มณีนาคราช”
“มณีนาคราชอีกแล้ว ไหนล่ะ เจ้าเพชรพลอยที่คุณพูดถึง มันอยู่ไหน”
“อยู่กับคุณไง”
“เฮ้อ จะให้บอกกี่ครั้ง ไม่มี ฉันไม่มีมณีนาคราชอะไรนั่น”
“มันอยู่นั่น” สโรธรนาคินทร์ชี้ไปที่ไหล่หญิงสาว
ปรทิพย์ทำหน้าเบื่อหน่าย แต่สโรธรนาคินทร์เดินมาใกล้ ใช้มือจิ้มไปที่ไหล่เธอ
“บนไหล่คุณไง” สโรธรนาคินทร์ยืนยัน ปรทิพย์อยากหัวเราะใส่หน้า ดูนายสโรธรคนนี้จะเพี้ยน มณีนาคราชจะอยู่บนไหล่เธอได้อย่างไร
“คุณ นี่คือปาน ปาน แปลว่า เซลล์ผิวหนังที่เจริญเติบโตผิดปกติ...” เธอชี้ไปบนปานสีเขียวเข้ม ยาวเลื้อยพันรอบหัวไหล่
“นั่น ไม่ใช่ปาน แต่คือมณีนาคราช”
“มณีนาคราช คือนิยายโกหก ใช่ไหม” ประกายตาสวยคู่นั้นบอกสโรธรนาคินทร์ จะไม่ยอมให้ความสงสัยนี้ ผ่านไปง่ายๆ
สโรธรนาคินทร์ยิ้มบาง
“คุณคงจำไม่ได้ ผมเคยช่วยชีวิตคุณไว้เมื่อ 17 ปีก่อน ตอนนั้นมีเรือเกิดอุบัติเหตุ และคุณจมดิ่งลงใต้ทะเลลึก เวลานั้นผมยังเด็ก หนีเจ้าพ่อเจ้าแม่มาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ และเจอคุณจมน้ำ คุณกำลังจะตาย ผมจึงตัดสินใจใช้มณีนาคราช เพื่อต่อลมหายใจให้…”
“ฉันไม่เข้าใจอยู่ดี” ปรทิพย์พยายามตั้งสติ คิดตาม หากทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน เธอคงกำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
“มณีนาคราช เป็น อัญมณีแห่งบาดาล เป็นของหมั้นของเจ้าชายรัชทายาท นั่น หมายความว่า สตรีหรือนาคีใด ได้ครอบครองมณีนาคราช ผู้นั้นจะเป็นคู่ครองของเจ้าชายรัชทายาท แห่งคันตะนครด้วย”
“สำคัญขนาดนั้นหรือ”
ปรทิพย์เริ่มใจคอไม่ดี อัญมณีที่สโรธรนาคินทร์พูดถึง ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่ อย่างนี้กระมังที่เรียกกันว่า ของมีค่าคู่เมือง เอ๊ะ แล้ว แล้ว ของมีค่าเช่นนี้ นายโสรธรบอกว่าอยู่กับฉัน
“ใคร คือ เจ้าชายรัชทายาท” คำถามตรงประเด็นออกจากปากเธอทันที
“ผมเอง”
ปรทิพย์อ้าปากค้าง “หมายความว่า...”
เมื่อคิดถึงคำพูด สตรี หรือ นาคีใด ได้ครอบครองมณีนาคราช ผู้นั้น จะเป็นคู่ครองของเจ้าชายรัชทายาท
“เวลานี้ คุณคือ ชายาของเจ้าชายรัชทายาทแล้ว” สโรธรนาคินทร์ย้ำ
ปรทิพย์หลิ่วตา ฉันเนี่ย เป็นเมียนาค บ้ากันใหญ่แล้ว เธอถอยกรูด ราวกับโลกกำลังหมุนกลับด้าน แต่เมื่อเธอหันไปจ้องหน้าเขา แต่ให้ตายเหอะ! แววตานั้น บอกว่าไม่ได้ล้อเล่น
ปรทิพย์รู้สึกหนาวสั่นในทันที
“แกะคืนไปเลย ฉันไม่ต้องการ...” เธอปฏิเสธเสียงรัวๆ พูดจบใช้มือถูไถราวจะให้อัญมณีนาคนั้นหลุดติดมือออกมา
สโรธรนาคินทร์ยืนมอง เธอกำลังสติหลุด มือน้อยถูไถจนไหล่เริ่มแดงช้ำ
“พอได้แล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิด” พูดจบเขาคว้าข้อมือน้อย แต่กลับถูกเธอสะบัดอย่างแรง
“ทำไม! ก็ฉันไม่ได้ต้องการ” ปรทิพย์ยังไม่ยอม มือน้อยยังคงถูไถปานนั้น
“หากคุณเป็นนาคี คงไม่มีปัญหา” สโรธรนาคินทร์ถอยห่าง หันจ้องหน้าสวย ก่อนเน้นคำพูดในแต่ละคำว่า “แต่คุณเป็นมนุษย์ หากวันนี้ มณีนาคราช หลุดจากตัว คุณจะตาย”
ปรทิพย์อึ้ง ชะงักงัน
“ฉัน...ไม่เข้าใจ” เธอจ้องหน้าเขา อะไรกันหนักหนา ปานดำ ปานแดง อันนี้
นาคหนุ่มอธิบายเพิ่ม ภาวนาให้เธอเข้าใจอะไรง่ายๆ
“มณีนาคราช จะนำออกจากมนุษย์ได้ 3 วิธี คือ หนึ่ง สตรีผู้ครอบครองเสียชีวิต สอง ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์” สโรธรนาคินทร์บอกปรทิพย์เพียงแค่ 2 เงื่อนไข
“โอเค ก็แค่พาฉันไปผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ เอามณีนาคราชของคุณคืนไปสิ พาฉันส่งบ้าน แค่นี้ปัญหาก็จบแล้ว” เธอเถียง หาทางออกให้ตัวเอง
“ปัญหาอยู่ตรงนี้ เราไม่มีเวลา เจ้าพ่อเร่งรัด ให้นำมณีนาคราชคืน ด้วยจะมีคณะราชทูตแห่งพาราตะมาเยือน”
“แล้วไงพิธีศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหน พาฉันไปทำสิ”
“พิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำในคืนที่มีพระจันทร์ครบ 10 ดวงเท่านั้น”
“อะไรนะ!” เธออุทานเสียงหลง
“ในเวลานี้ พระจันทร์มีเพียง 9 ดวง”
“เมืองบาดาล ทำไมมีพระจันทร์มากมายขนาดนั้น หมายความว่าฉันต้องรอพระจันทร์ดวงที่ 10 หรือ” เธองงไปกันใหญ่ โลกมีพระจันทร์ 1 ดวงโคจรอยู่รอบ แต่นครแห่งนี้มีพระจันทร์มากกว่าหนึ่งดวง นี่มันดาวอะไรกัน เธอพยายามเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่ อีกหนึ่งเดือนจะเวียนครบ เราจึงสามารถประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ได้ ผมกำลังหาทางช่วยคุณ รอให้เจ้าพ่อหายกริ้วก่อน”
“ทำไมเจ้าพ่อคุณ ต้องโกรธฉันด้วย”
“เจ้าพ่อต้องการมณีนาคราช แล้วคุณก็ไม่ยอมแต่งงานเสียที”
“เกี่ยวอะไร กับการแต่งงานของฉัน...”
“หากคุณเสียพรหมจรรย์ มณีนาคราชก็จะกลับคืนสู่ผู้มอบให้เช่นกัน”
เงื่อนไขที่ 3 ทำปรทิพย์หน้าแดงเรื่อ เมื่อสโรธรนาคินทร์บอกเหตุผล เธอครุ่นคิดพักใหญ่ ก่อนพูดว่า “เสียพรหมจรรย์ คือ วิธีสุดท้ายใช่ไหม”
สโรธรนาคินทร์พยักหน้า
“สรุปแล้ว ไม่มีทางเลือกให้ฉัน” ปรทิพย์เสียงอ่อย
“ไม่แปลกใจบ้างหรือ ทำไมเกิดเรื่องประหลาดกับคุณบนโลกมนุษย์”
ปรทิพย์ช้อนตามอง “มีคนทำเรื่องประหลาดนั้น ใช่ไหม”
“ใช่ คุณรู้ไหม คนไล่ล่าคุณเป็นใคร” ปรทิพย์ลำดับเหตุการณ์ ใช่ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น จนเธอคิดว่าตัวเองเป็นโรคประสาท เพี้ยน เพ้อ
“งั้นดู คราวนี้คุณคงจำอะไรได้บ้าง”
สโรธรนาคินทร์ยกมือวาดไปในอากาศว่างเปล่า
ภาพนิรมิตได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจากภาพนิรมิตครั้งแรก เธอกระโดดหน้าผาสู่ท้องทะเล และตัวประหลาดได้พุ่งหลาวตามไปติดๆ แต่สิ่งที่เธอเห็นต่อจากนี้ ทำเธอตกใจ เพราะทันทีที่เจ้าตัวประหลาดโดนน้ำ พวกมันกลายร่างเป็นงูใหญ่เกร็ดสีเขียวเข้ม หัวมีหงอน เลื้อยว่ายรายล้อม
ปรทิพย์เห็นภาพตัวเองหวีดร้องก่อนหมดสติ และภาพนิรมิตจากนั้นคือ พญานาคใหญ่ตนหนึ่ง พุ่งเข้ารัดรอบร่างเธอไว้ หงอนสีทองบนเศียรใหญ่เปล่งรัศมี พญานาคตนนั้นคำรามกึกก้อง ทำบรรดางูใหญ่เกรงกลัว ต่างรีบว่ายน้ำหนีไปในพริบตา
โอววว...พญานาค พระเจ้าช่วย!
ปรทิพย์จ้องภาพนิรมิตเขม็ง

Bình Luận Sách (70)

  • avatar
    อา'า บัง'ง

    ดีมากๆ

    4d

      0
  • avatar
    La Yi Chan

    100

    4d

      0
  • avatar
    Ridwan Lx

    ดีๆมาก

    4d

      0
  • Xem tất cả

Các chương liên quan

Chương mới nhất