สภาพอากาศของวันที่สองนั้นดีกว่าวันแรกมาก ฉันหอบเฟรมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เดินลงมาชั้นล่างพบว่าชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ร่วมบ้านตื่นแต่เช้าเหมือนกัน วันนี้เขาดูหงุดหงิดอย่างไรพิกล“ไปวาดรูปหรือ” เขาถาม“เห็นอยู่ว่าหอบเฟรมเขียนรูป จะให้ไปไหนล่ะ” ฉันตอบไปอย่างยียวน ยังแค้นเรื่องข้าวผัดเมื่อวานไม่หายคนที่ถามเม้มปาก ท่าทางพยายามระงับอารมณ์โกรธอยู่พอสมควร“เป็นอะไรไป ฉันไม่คิดว่าคนอย่างคุณโดนกวนแค่นี้แล้วจะอารมณ์เสียหรอกนะ”“ผมคิดงานไม่ออก” เขาบอกตามตรงแล้วถอนหายใจ “วันนี้ไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับใครหรอกนะ คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ”ฉันมองเลยไปยังกองหนังสือระเกะระกะของเขา แก้วกาแฟ และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ในห้อง แล้วมองกลับมาที่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางเขาอิดโรยจากการอดนอนอย่างเห็นได้ชัด“คุณยังไม่ได้นอนใช่ไหมนี่”เขาพยักหน้า “อยากทำส่วนนี้ให้เสร็จ” เขาปิดปากหาวสองครั้งติดกัน“ไปนอนเถอะคุณ หน้าตาคุณตอนนี้ฉันว่าให้คิดให้ตายก็คิดไม่ออกหรอก คุณเครียดมากเกินไปแล้ว”พูดจบฉันก็เดินออกจากบ้าน จริง ๆ แล้วถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่ผู้ชายปากร้ายคนนี้ ฉันคงแสดงความสนใจสนทนาวิสาสะมากกว่านี้ แต่กับเขาฉันเลือกที่จะคุยกับเสียงคลื่นลมมากกว่าบ้านพักหลังนี้อยู่เกือบสุดหาดชะอำ มันเป็นบริเวณที่อาจเรียกว่าสวยที่สุดซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักก็ว่าได้ โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวจะพักอยู่กันแต่บริเวณกลางหาด ซึ่งจะมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม ตั้งเรียงกันเป็นตับ แต่บ้านพักของฉันอยู่ติดชายทะเลลึกเข้าไป ก่อนถึงตัวบ้านเป็นที่ดินของเศรษฐินีท่านหนึ่งที่ไม่ยอมขายที่ดินให้ใครและไม่ยอมทำอะไรนอกจากปลูกป่าสนตลอดแนว นั่นทำให้บ้านของฉันเหมือนถูกกันออกจากบ้านพักตากอากาศหลังอื่น ๆ ไปเกือบกิโลเมตรอากาศดีเหลือเกิน มันทำให้ฉันทำงานเพลินจนบ่ายแก่ ฉันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอเวลาสนใจหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่องใด มักจะลืมเวลากินเวลานอน คิดไปแล้วนายปากเสียนั่นคงเป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาถึงได้ทำงานจนถึงเช้าแบบนั้น“วาดรูปสวยนี่”เสียงเบา ๆ ดังขึ้นเบื้องหลัง ผู้ชายปากร้ายที่กำลังคิดถึงอยู่นั่นเอง“แค่ภาพร่างคร่าว ๆ ยังต้องแต่งอีกเยอะ” ฉันตอบ หันกลับมาหางานของตัวเองต่อ“จะบอกว่าเสร็จแล้วสวยกว่านี้งั้นสิ” เขาหัวเราะ “คุณนี่บ้ายอดีแฮะ”ปากเสียจริง ๆ ฉันคิด ขณะลดพู่กันลง เท้าเอว “คิดงานออกแล้วหรือไงถึงได้มายืนกวนอารมณ์ชาวบ้านแบบนี้ ถ้าอารมณ์ดีแล้วก็ช่วยไปไกล ๆ ได้ไหม ฉันไม่อยากฆ่าคนด้วยขาตั้งรูปนี่” อารมณ์ที่อยากจะพูดด้วยหายไปเกือบครึ่งเมื่อเจอฝีปากของเขา“ยังไม่เสร็จเลย” เขาพูดพลางทรุดตัวลงบนพื้นทรายไม่ไกลนัก “แต่นอนมาตื่นหนึ่งแล้วเลยออกมาเดินเล่น ให้ผมนั่งด้วยคนนะ”“ฉันอยากทำงานเงียบ ๆ ไม่ต้องการเพื่อนคุย”“ผมเอาหนังสือมาด้วย ขอนั่งอ่านเงียบ ๆ เหมือนกัน”เมื่อเขาไม่ได้พูดอะไรให้ฉันระคายหูอีก ฉันจึงไม่ได้สนใจที่จะไปต่อล้อต่อเถียงด้วย อีกอย่างการมีคนอยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้ทำให้สมาธิลดลง เพราะรูปที่กำลังวาดกำลังเข้ารูปเข้ารอยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละนิด ภาพสีน้ำต่างกับการวาดภาพด้วยสีชนิดอื่นตรงที่ต้องวาดให้เสร็จ หรือไม่ก็เกือบเสร็จในครั้งเดียว การลงสีทับสีที่ระบายไว้ก่อนหน้าจะทำให้ได้สีสันที่ไม่สดใสเท่าที่ควร ฉันจึงไม่มีเวลาที่จะสนใจกับคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั่นนักเกือบห้าโมงเย็นฉันถึงได้วางมือ เมื่อหันไปหาคนข้างหลังก็พบว่าเพื่อนร่วมบ้านของฉันเอาหนังสือปิดหน้านอนเหยียดยาวลงบนพื้นทรายอย่างไม่ยี่หระต่อแสงแดดอ่อนที่ลอดตัวผ่านร่มไม้ลงมาฉันเริ่มเก็บของ เสียงของมันคงทำให้เขาตื่น“กี่โมงแล้วนี่” คนที่นอนอยู่ถามอย่างง่วง ๆ“ห้าโมงเย็น”“ตายละ เผลอหลับไปตั้งนาน งานคุณเสร็จแล้วเหรอ”“วันนี้พอแค่นี้ก่อน แดดจะหมดแล้ว” ฉันตอบเขาลุกขึ้น ยื่นมือมาดึงอุปกรณ์บางส่วนไปจากฉัน “ช่วยถือ” เขาบอก และจากประสบการณ์ที่อาศัยอยู่กับเขามาหนึ่งวันทำให้รู้ว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาจะดีกว่าเราเดินคู่กันไปตามชายหาดเหยียดยาวเงียบ ๆ ฉันเองกำลังเก็บภาพและคำนวณหามุมที่จะวาดรูปในวันรุ่งขึ้นอยู่ในใจ เขาเองก็เดินทอดน่องดูอะไรเรื่อยเปื่อย“ฉันเคยอ่านเล่มที่คุณอ่านอยู่นี่เหมือนกัน ไม่คิดว่าคุณจะอ่าน หนังสือแบบนี้” จบประโยคเขาก็มอง ‘แผ่นดินนี้เราจอง’[1] ที่อยู่ในมือแล้วทำหน้างง ๆ“หนังสือนั่นไม่เข้ากับหน้าคุณเลย”“อะไรนะ” เขาหันมาทำหน้าโกรธ แต่ไม่จริงจังนักฉันหัวเราะ “หน้าตาอย่างคุณน่าจะอ่านหนังสือแนวฆาตกรรมสยองขวัญของสตีเฟ่น คิง หรือโทมัส แฮริส อย่างฮันนิบาล มากกว่า”พูดจบฉันก็คว้าของทั้งหมดที่อยู่ในมือเขาเดินขึ้นบ้านไป ปล่อยให้เขายืนหน้าบึ้งตาขวางอยู่ตรงนั้นการได้แก้แค้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มันสนุกดีเหมือนกันนะ“ฉันเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านที่มีลูกแค่สองคน พี่ชายจึงปล่อยให้เรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน” ฉันเริ่มเล่าถึงตัวเองให้นายคีตาฟัง หลังจากเราทั้งคู่ทำสัญญาสงบศึกกันโดยไม่ตั้งใจที่ชายหาด เขาแสดงไมตรีด้วยการทำอาหารมื้อเย็นให้ฉันกิน และฉันพบว่าผู้ชายที่ดูไม่มีมนุษยสัมพันธ์คนนี้มีฝีมือในการทำอาหารดีมากอย่างไม่น่าเชื่อหลังกินข้าวซึ่งฉันเป็นคนล้างจาน ขัดกระทะ เราเลือกมานั่งดื่มกาแฟ ดูโทรทัศน์กันที่ห้องรับแขก เวลาที่เขาพูดจากับฉันดี ๆ มันก็ดีอยู่หรอก“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงเลือกเรียนคอมพิวเตอร์”“ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะตอนที่ผมเรียนมันเป็นวิชาที่ไม่ค่อยมีใครอยากเรียน เพื่อนร่วมคณะส่วนใหญ่จะคิดว่ามันยากเกินไป ผมเป็นพวกโรคจิตที่ชอบทำอะไรที่ยาก ๆ มันท้าทายดี” เขาตอบ “แล้วผมก็พบว่าผมชอบมันมาก”พวกมั่นใจในตัวเองสุด ๆ ฉันคิด“ทำไมคุณไม่เคยไปที่บ้านของฉันเลยล่ะ ไม่งั้นเราคงเคยเจอกันบ้าง ไม่ต้องเข้าใจผิดกันตั้งแต่แรกแบบนั้น”“ผมว่าคุณต่างหากที่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ผมไปค้างบ้านคุณหลายครั้งนะ ไปกินข้าวฝีมือป้าเนียมออกบ่อย ไม่เห็นเจ้านุเล่าเรื่องคุณให้ฟังเลย สงสัยคุณจะถูกตัดหางปล่อยวัด” ท้ายประโยคมีเสียงหัวเราะในลำคอฉันค้อนให้เขาหนึ่งที ก็จริงของเขา ชีวิตหลังมัธยมปลายของฉันอยู่ในมหาวิทยาลัยมากกว่าที่บ้าน หลังจากที่พี่นุแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันไม่ถูกชะตาด้วยนัก ฉันก็หาเรื่องขอเขาออกมาอยู่หอพักติดกับมหาวิทยาลัย และจะกลับบ้านเมื่อมีธุระหรือไม่ก็โทร. ไปหาเขาตอนที่ไม่มีเงินใช้เท่านั้นฉันคงเป็นน้องนอกคอกโดนพี่ชายตัดหางปล่อยวัดอย่างที่นายคีตาบอกจริง ๆ ฉันถอนหายใจ กี่เดือนแล้วนะที่ไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้เจอกับพี่ชาย สี่ หรือห้า หรือหก...[1]แผ่นดินนี้เราจอง แต่งโดย ริชาร์ด พาเวลล์ แปลโดยเทศภักดิ์ นิยมเหตุ หนังสือแนวตลกกึ่งประชดประชันสังคมของนักเขียนชาวอเมริกัน
ได้ความรู้ต่างๆ
1d
0อ่านฟินสุดๆ
1d
0สนุกมากๆค่ะ อ่านเพลินสุดๆ
3d
0Xem tất cả