“มันก็เข้ามาคุยไปทั่วนั่นแหละ ใครไปหลงกลมันก็บ้าแล้ว” พิชาวีร์บอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเพื่อนร่วมชั้นคนนี้แม้จะเป็นคนหน้าตาดี แต่ก็หลงตัวเองและมั่นหน้าสุด ๆ ในโรงเรียนนี้มีด้วยเหรอผู้หญิงที่มันไม่จีบหรือเข้าไปพูดหยอดเขาน่ะ อ้อ มีคนหนึ่ง ป้าแม่บ้าน... “จริงด้วย” ภูผาบอกก่อนจะหัวเราะ แล้วเงียบไป “นี่พวกเรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้วนะ” เขาถามขึ้นลอย ๆ ทอดสายตามองไปที่เส้นขอบฟ้า “ตกเลขหรือไง ตอนนี้แกกับฉันอายุเท่าไหร่ก็รู้จักกันเท่านั้นแหละ” พิชาวีร์ตอบเสียงเยาะ “สิบแปดสิบเก้าปี นานมากเลยนะ ได้แยกกันบ้างก็ดีเหมือนกัน เริ่มเบื่อหน้าบวม ๆ ของแกละ โอ๊ย!” พูดจบภูผาก็ต้องอุทานเสียงหลงเมื่อมีฝ่ามือตบป้าบเข้าที่ศีรษะเต็มแรง “ปากเสีย เขาเรียกหน้าตามีน้ำมีนวลย่ะ” “เล่นแรง” ภูผาโอดครวญเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะนึกสนุก “นี่ เอาอย่างนี้ไหม วันไหนอายุเยอะแล้ว เราได้กลับมาเจอกันอีก ถ้าต่างคนต่างยังไม่มีใคร เรามาคบกันเองไหม” พิชาวีร์ปรายตามองคนพูดแล้วหัวเราะ “เอาสิ” ก่อนจะตอบรับอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็แค่พูดเล่นเท่านั้น ด้วยความที่สนิทกัน เรื่องอ่ำเล่นแนว ๆ นี้ ระหว่างเธอกับภูผามีเยอะแยะเต็มไปหมด “อ้าว ๆ จำคำตัวเองพูดด้วยนะ” ภูผาทักท้วงพร้อมกับชี้หน้าหญิงสาวยิ้ม ๆ “บอกตัวเองเถอะ” พูดจบพิชาวีร์ก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วก้มลงเก็บขยะและยัดมันใส่มือของภูผา “ฉันซื้อ แกก็เอาไปทิ้งละกัน” “รอด้วยสิ” ภูผารีบวิ่งเอาขยะในมือไปทิ้งแล้วรีบตามพิชาวีร์ที่เดินนำไปก่อน โดยไม่มีท่าทีว่าจะรอเขาแม้แต่น้อย สิบห้าปีต่อมา พิชาวีร์ที่เรียนจบและได้ทำงานเป็นล่ามที่บริษัทแห่งหนึ่งในภาคเหนือ นอกจากงานล่ามแล้วยังมีงานเสริมอย่างงานแปลอีกด้วย และคิดว่างานแปลมันคงจะเป็นงานเสริมอย่างนี้ไปตลอดตราบที่เธอยังมีงานประจำอยู่ ทว่าทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะจู่ ๆ คนเป็นแม่ก็เกิดล้มป่วยกะทันหัน ไม่มีใครดูแล จากที่เมื่อก่อนกลับไปเยี่ยมท่านปีละสองสามครั้ง ตอนนี้จำต้องลาออกจากงานประจำมาอยู่ที่บ้านเป็นการถาวรปกติเธอจะจ้างหลานสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ มาคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนของคนเป็นแม่พอมาเป็นอย่างนี้ เด็กที่เพิ่งอยู่แค่ประถมปลายก็คงดูแลไม่ไหว งานแปลที่เคยคิดว่าจะเป็นแค่งานเสริมตอนนี้เลยกลายมาเป็นงานหลักไปเสียแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร กลับคิดว่าดีนะที่ตัวเองมาจับงานนี้ไม่อย่างนั้น ด้วยการที่ต้องดูแลคนเป็นแม่ตลอดเวลา จะไปหางานที่ต้องเข้าออฟฟิศหรือตะลอนออกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เหมือนงานล่ามก็คงไม่ได้ ดังนั้นงานที่ทำผ่านออนไลน์มันคือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ เมื่อกลับมาบ้าน สิ่งที่ได้รับรู้จากคนเป็นหมอคือแม่ของเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เรื่องนี้ทำเอาเธอและญาติ ๆ พี่น้องช็อกไปตาม ๆ กัน เพราะมันไม่มีการแสดงอาการให้เห็นมาก่อน พอมาเจอก็หนักแล้ว “แม่เป็นไงบ้างคะ” หญิงสาวถามคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล “สบายดี แม่อยากกลับบ้าน” นางบอกเสียงแผ่ว ต่างกับคำว่าสบายดีของเจ้าตัวมากโข “ให้แม่แข็งแรงขึ้นอีกหน่อยหมอก็น่าจะให้กลับแล้วล่ะค่ะ” พิชาวีร์ยิ้มพลางลูบหลังมือปลอบคนเป็นแม่ แม้จะดูไม่มีทางเป็นไปได้เลย “แม่ไม่ชอบบรรยากาศในนี้เลย” นางพัดชายังไม่วายบ่น ได้ยินอย่างนั้นพิชาวีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปรับมื้อเที่ยงจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล
สนุกชอบ
10d
0รักนะครับ
20d
0ดีมาก
26/07
0ดูทั้งหมด