“น้องไปยืนทำอะไรอยู่กลางถนนแบบนั้น รู้ไหมว่ามันอันตรายขนาดไหน”“อิงค์ขอโทษ ที่ทำให้พี่ต้องเดือดร้อนไปด้วย พอดีว่าอิงค์หาตึกนิเทศไม่เจอค่ะ ที่นี่ใหญ่มากไม่รู้ว่าตึกไหนเป็นตึกไหน” ใบหน้าหมวยแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มจะคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเห็นใจ“น้องเรียนนิเทศหรือ” หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะหันไปสังเกตเห็นนักศึกษาที่เดินผ่าน หันมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ“พี่คะ หน้าอิงค์มีอะไรติดไหม” ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วใช้มือช้อยคางเธอหันมา“ไม่นะ” ดวงหน้าคุ้นเคยของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกหัวใจเต้นเร็วก่อนจะปล่อยมือออกช้าๆ“ไม่มีจริงๆ นะคะ ทำไมทุกคนมองอิงค์แปลกๆ แบบนั้นด้วยนะ” คเชนทร์หลุดยิ้มออกมาหากแต่ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะพาเธอมายังตึกนิเทศ หญิงสาวเข้าห้องเรียนด้วยท่าทางเงอะงะ ด้วยเพราะเป็นวันแรกยังไม่มีเพื่อนใหม่ ในห้องเรียนมีศึกษาร่วมสามสิบคน เธอเลือกมานั่งกลางห้องก่อนจะมีหญิงสาวหน้าสวยเข้ามานั่งด้านข้าง“เธอ มีปากกาไหม ฉันขอยืมหน่อย พี่ชายฉันยืมไปแล้วไม่เอามาคืน” ท่าทางแปลกประหลาดของหญิงที่เข้ามาคุยด้วยทำให้อินทิรารู้สึกประหลาดใจ หากแต่หยิบปากกายื่นให้ด้วยความเต็มใจ“เธอชื่ออะไร ฉันชื่อคะนิ้ง” หญิงสาวยิ้มกว้างมองเอาคำตอบ“ฉันชื่ออิงค์”“ยินดีที่ได้รู้จักนะ และก็ขอบคุณสำหรับปากกาด้วย” อินทิราส่งยิ้มให้ก่อนจะถอนหายใจมองไปรอบๆ ห้อง นอกจากคะนิ้งแล้วก็ไม่มีใครเหมาะจะเป็นเพื่อนเธอได้แล้วจริงๆ“คเชนทร์ ฉันถามอะไรนายหน่อยได้ไหม ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว มันบังเอิญหรือนายจงใจ” พีทกระซิบถามสิ่งที่คาใจในขณะที่อาจารย์กำลังสอน“บังเอิญ” คเชนทร์ตอบเพื่อนพลางตั้งใจจดตัวหนังสือลงสมุด“นายไม่รู้สึกอะไรกับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”“รู้สึกสิ รู้สึกว่าฉันคุ้นหน้าเขา เหมือนเคยเจอกันมาก่อน”“ฮือๆๆ ขนาดเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติแล้ว คุณพี่หาลืมอีกลิ่นทิพย์ไม่ แม้มันจะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างแล้ว หากแต่คุณพี่ก็ยังจำมันได้ขึ้นใจ ฮือๆๆ” เสียงแว่วดังเข้ามาในหูบางๆ พอจับใจความได้ถึงคำพรรณนาอันเจ็บปวดจากใครบางคน“พีทนายได้ยินอะไรไหม” คเชนทร์เอี้ยหูฟังอย่างตั้งใจก่อนจะหันไปถามพีท“ได้ยินดิ อาจารย์สอนปาวๆ อยู่นี่ไง”“ไม่ใช่เสียงอาจารย์ แต่เป็นเสียงคราง เสียงร้องไห้ของผู้หญิง นายไม่ได้ยินหรือ” พีทอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง พลางหันซ้ายหันขวา แล้วขยับตัวเข้ามาแนบชิดคเชนทร์ด้วยท่าทางกังวล ก่อนจะเหลือบไปเห็นปากกาในมือของเพื่อนสนิทที่เป็นลายการ์ตูนสีหวานแหวว“เดี๋ยวนะ ปากกาของนายมันดูสาวมากไปไหม” พีทกลั้นหัวเราะเมื่อมองปากกาสีหวานด้ามนั้น พลันลืมความกลัวไปจนหมดสิ้น“ของน้องสาวฉัน นายไม่ต้องขำ ฉันยืมคะนิ้งมา” คเชนทร์ยังคงเขียนตัวอักษรลงในสมุดอย่างตั้งมั่นในขณะที่มีเสียงหัวเราะเล็กๆ ของพีท ลอดเข้ามาเป็นระยะ“เป็นไงบ้างลูกไปเรียนวันแรก” วารีกลับจากทำงาน เดินเข้ามาในบ้าน เห็นลูกสาวนั่งหราอยู่หน้าทีวี ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า“ก็ไม่เป็นไงค่ะ วันนี้ไม่ได้เรียนอะไรมากมาย ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้แนะนำตัวและทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ค่ะ”“แล้วมีเพื่อนหรือยังเรา”“มีอยู่คนหนึ่งค่ะ วันนี้ก็ไปกินข้าวพร้อมกันด้วย เธอชื่อคะนิ้ง”“มีเพื่อนก็ดีแล้ว เอาเป็ดนี้ไปจัดจานไป เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนแล้วจะออกมากินด้วย” หญิงสาวรับถุงจากมือมารดาก่อนจะเดินไปยังห้องครัวแล้วจัดแจงอาหารที่แม่ซื้อมาใส่จานด้วยสีหน้าครุ่นคิด“แม่คะ เมื่อคืนหนู่ฝันแปลกๆ ด้วยล่ะ” อินทิราตัดสินใจพูดสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประหลาด ออกมาขณะที่วารีตั้งหน้าทานอาหาร“ฝันว่าไร เจอเนื้อคู่หรือไง”“แม่อ่ะ ไม่ใช่ค่ะ หนู่ฝันเห็นคนชื่อกลิ่นจันทร์” ช้อนที่วารีถืออยู่ร่วงจากมือทันที ก่อนจะถอดสีหน้าแล้วจ้องมองลูกสาว“อะไรนะ” วารีจับจ้องไปยังใบหน้าของลูกสาวด้วยความกังวลใจ“ฝันว่ามีคนชื่อกลิ่นจันทร์เธอถูกพ่อแม่ขายให้กับเจ้าขุนมูลนายในสมัยก่อนค่ะ บ้านหลังนั้นใหญ่มากค่ะแม่ มีการซ้อมรำอย่างใหญ่โต คนชื่อกลิ่นจันทร์ถูกขายเพื่อไปเป็นนางรำค่ะ” อินทิราพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งเงียบไป ปล่อยให้มารดาอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น“แล้วยังไงอีก”“เจ้าของบ้านหลังนั้นชื่อคุณเอื้องฟ้า มีลูกชายด้วยหนึ่งคน ดูเหมือนกลิ่นจันทร์เธอจะชอบเขา แต่แม่เขาดุมาก แล้วหนูก็ตื่น สงสัยหนูจะหมกมุ่นเรื่องการรำมากไปเลยเก็บไปฝันซะเป็นตุเป็นตะเลย” วารีวางมือจากการทานอาหารแล้วดื่มน้ำตามไปอีกมากมายหลายอึก ก่อนจะหันมองลูกสาวด้วยท่าทางเป็นห่วง
ดีมาก
4d
0ดีงามมาก
4d
0ดีครับ
5d
0ดูทั้งหมด