ผิงอิงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของไป๋เยี่ยน ส่วนหญิงสาวจากร้านใบชานั้นชะตาลิขิตให้สิ้นอายุขัยในวันนี้ ชีวิตสามสิบปีของซีเล่อถูกใช้แลกกับการมีชีวิตของผิงอิง เฒ่าจันทราบอกว่าสวรรค์ประทานเวลาให้ทั้งสองครองคู่กันเพียงสามปีเท่านั้นทว่าเวลาสามปีนั้นมากพอที่ซีเล่อจะทำให้ผิงอิงมีความสุข และเวลาสามปีนั้นก็มากพอที่ผิงอิงจะตอบแทนความรักของซีเล่อที่มีต่อนาง ทั้งสองร่วมยินดีกับเวลาสามปีที่ได้รับ ซีเล่อเป็นขุนนางใจซื่อ ทำงานเพื่อบ้านเมืองด้วยความภักดี เขาฟันฝ่าปัญหาอุทกภัยและความยากแค้นของชาวเมืองด้วยแรงสนับสนุนจากผิงอิงในร่างของไป๋เยี่ยน ชายหนุ่มเรียกภรรยาว่าผิงเยี่ยน เพื่อระลึกถึงบุญคุณเจ้าของร่างเดิม ต่อให้รูปกายภายนอกเป็นหญิงอื่น แต่ซีเล่อรู้เสมอว่านางคือคนที่เขารักมาตลอดชีวิตผ่านไปแล้วสามปี ผิงเยี่ยนและซีเล่อมิได้สิ้นลมหายใจดังคาด เฒ่าจันทราปรากฏกายอีกครั้ง เพราะผลจากคุณงามความดีของซีเล่อและผิงเยี่ยนที่มีต่อชาวเมือง ทั้งสองจึงมีเวลาอยู่ร่วมกันนานถึงสามสิบปี มีทายาทสืบสกุลสามคนยี่สิบเจ็ดปีให้หลัง บนเตียงอุ่นในเช้าของวันที่อากาศสดใส ซีเล่อและผิงเยี่ยนสิ้นลมในอ้อมกอดของกันและกัน เหนือสิ่งอื่นใด ใบหน้าของทั้งสองประดับด้วยรอยยิ้ม’เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ได้ที่นางเอาแต่จดจ้องริมฝีปากของเขาที่ขยับเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าฟัง ชายหนุ่มมีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมพร้อมแพขนตาดำระยับ เมื่อมองด้านข้างให้ความรู้สึกอ่อนโยนยิ่ง จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้า แลดูคมคาย ผิวคล้ำแดด รูปร่างสูงใหญ่ตึงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ยามเมื่อนางปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนบนเพื่อทำแผลให้เขาทำเอานางใจสั่นอักโข ในสายตาของนาง เขาคือบุรุษรูปงามที่สุดแล้วตั้งแต่เคยพบเห็น‘เจ้าคงชอบหนังสือเล่มนี้มากกระมัง ถึงได้จ้องข้าตาไม่กะพริบ’เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตานางพลางเอ่ยหยอกเย้า นางที่กว่าจะคิดได้ว่าตัวเองล่วงเกินเขาทางสายตาไปมากแล้วใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว เกิดความเขินอายยากซ่อนเร้นได้ทันควัน จึงรีบลุกขึ้น แต่ขาเจ้ากรรมก็ดันสะดุดกันเอง ‘ระวัง!’ก่อนจะล้มลงทั้งยืน ชายหนุ่มก็คว้าร่างนางได้ทัน ครั้นพอเนื้อตัวแนบชิดสนิทแน่น ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดแถวบริเวณหน้าผาก ทำเอานางแทบแทรกแผ่นดินหนี เกรงจะเผยความในใจให้เขารู้ ว่าเพียงใกล้ชิดไม่ทันไร หญิงชาวป่าอัปลักษณ์เช่นนางก็มอบใจให้เขาไปแล้วทั้งดวงอย่างไร้ยางอายนางได้แต่ก้มหน้าก้มตาพร่ำขอโทษขอโพยที่ล้มกระแทกเขาเข้า ยังไม่ทันรับหนังสือคืนก็รีบวิ่งกลับเข้ากระท่อมหวังปกปิดความรู้สึกและจังหวะการเต้นของหัวใจที่กำลังเต้นสั่นไหวรุนแรงหลังพักฟื้นอยู่ร่วมเดือน พี่ต้าเผิงของนางก็เข้าป่าร่วมกับท่านพ่อได้ เขาถามเส้นทางไปยังตัวเมืองไท่ซา แต่ท่านพ่อไม่เห็นด้วยที่เขาจะฝ่าหิมะเข้าเมือง อีกทั้งของป่าที่หาได้ในฤดูหนาวก็ยังมีไม่มากพอ อย่างน้อยต้องรออีกราวครึ่งถึงหนึ่งเดือนคงเพราะนางแสดงออกถึงความเศร้าสร้อยมากเกินไปกระมัง ยามเมื่อเขาถามเส้นทางกลับเข้าเมือง ชายหนุ่มจึงรับปากว่าจะอยู่ต่อจนสิ้นฤดูหนาว เวลาที่รอคอยไม่สูญเปล่า เพราะเขาช่วยนางและท่านพ่อหาของไปขายเพื่อสะสมเป็นเงินค่าเดินทางนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางไม่อยากให้ฤดูหนาวแสนน่าเบื่อสิ้นสุดลง...เสียงนกราตรีกระพือปีกบินผ่านเหนือหัว ลมรื่นระรวยมา ฟังเยว่ฉิวก้มมองหนังสือในมือ นางนึกถึงเฒ่าจันทรา สังหรณ์ใจว่านางและเขามีวาสนาต่อกันจริง หรือเป็นเพียงแค่ภาพฝันหนึ่งตื่นเพราะหากมีความรักลึกซึ้งต่อกันแล้วไซร้ แม้นมีอุปสรรคก็สามารถร่วมฟันฝ่าจนสามารถครองคู่ หากไร้ซึ่งวาสนา แม้ได้พานพบ ด้ายแดงของเฒ่าจันทราที่เคยเข้าใจว่าถูกผูกไว้ด้วยกัน มันก็ไม่มีอยู่จริง...“พี่ต้าเผิงคงลืมเยว่เอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่”หากเทพแห่งสายลมสามารถพัดพาเอาความรู้สึกนึกคิดของคนผู้หนึ่งไปยังคนอีกผู้หนึ่งได้จริง หญิงสาวหวังเพียงสามีของนางจะมีใจคิดถึงนางบ้าง...แม้เพียงสักเสี้ยวที่เมืองถูหยาง นอกกำแพงวัง เผิงเซิ่งอี้กำลังจะขึ้นรถม้า หลังออกจากงานเลี้ยงพระราชทานขององค์จักรพรรดิซึ่งเขาอยู่ร่วมงานเป็นเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม โดยอาศัยข้ออ้างว่าเกิดอาการปวดศีรษะกะทันหัน จึงต้องขอตัวกลับก่อนพี่ต้าเผิง...ละม้ายยินเสียงแว่วแผ่วมา มันมิใช่เกิดจากความฝัน เพราะเขากำลังตื่น สติสัมปชัญญะครบถ้วน เมื่อไร้ซึ่งต้นเสียง ชายหนุ่มทำได้เพียงผินหน้าทอดตาแลดวงหทัยสีนวลแห่งรัตติกาล เทวีแห่งจันทร์ ฤๅท่านกำลังปิดบังอำพรางสิ่งใดกันงานเลี้ยงรื่นเริงภายในวังหลวงเพื่อบำเหน็จรางวัลแก่ขุนพลน้อยใหญ่ซึ่งชนะศึกกับหนานลู่ ถูกจัดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้พิเศษขึ้นเพราะสตรีฝ่ายในที่พระองค์โปรดหลายนางและราชนิกุลหญิง ได้เสด็จออกมาร่วมงานด้วยเป็นโอกาสแรกที่องค์หญิงหงหญ่าได้มีปฏิสันถารกับขุนพลหนุ่มสกุลเผิง เพราะวรกายแน่งน้อยทรงสะดุดก้อนหินในอุทยานหลวง ทันท่วงทีที่ชายหนุ่มซึ่งปลีกตัวออกมาสูดอากาศหลังนั่งชมการร่ายรำของเหล่าสาวงามจากหอเริงฤดีประคองนางไว้ทัน“ขะ...ขอบใจ” องค์หญิงหงหญ่าตรัสเมื่อชายหนุ่มประคองให้หยัดยืนได้เต็มสองพระบาทแล้ว“กระหม่อมมิทันได้ตรวจดูทางเสด็จ องค์หญิงโปรดอภัย” ลู่เอิน นางกำนัลคนสนิทซึ่งติดตามมาไม่ห่างค้อมตัวต่ำแล้วเข้ามาประคองผู้เป็นนาย “งานคงไม่สนุกกระมัง ท่านแม่ทัพถึงได้เลี่ยงหลบออกมาสักพักใหญ่แล้ว” เพราะทรงลอบสังเกตชายหนุ่มอยู่นั่นเอง เมื่อเขาปลีกตัวจากงานเลี้ยง ด้วยแรงยุของลู่เอิน ชั่งพระทัยชั่วครู่จึงเสด็จตามออกมา สบโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับชายหนุ่มให้มากขึ้นเมื่อพระมารดาตรัสเรื่องเสกสมรส เผิงเซิ่งอี้ก็คือตัวเลือกสำคัญที่นางมาดหมายไว้ในหทัย“หามิได้กระหม่อม” เผิงเซิ่งอี้เงยหน้าขึ้นตอบ ชายหนุ่มเพียงไม่ชอบอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึก มิลุ่มหลงเสพของมึนเมา หรือชมชื่นการร่ายรำเป็นเวลานานนัก ยอดขุนพลเรืองนามคุ้นชินเพียงคนหมู่มากในกองทหารและสนามรบมากกว่า“ศึกกับแคว้นหนานลู่คงทำท่านลำบากมาก เรื่องท่านหายไปนานสองเดือนกว่า ข้าก็รู้ ดีใจที่ท่านปลอดภัยกลับมา”ทรงเคยพบชายหนุ่มสองสามหนเมื่อสามปีก่อน ไม่คาดคิด เวลาผ่านไป ความมีสง่าราศีของเขาจะเปล่งประกายขับเน้นความทะนงองอาจของสายเลือดขุนพลใหญ่ประจำแคว้นออกมา จนเมื่อได้สบตาเขาอีกครั้งในงานเลี้ยงครั้งก่อน ทำให้ บังเกิดความเขินอายจนร้อนผ่าวไปทั้งวรกาย“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย”เหมือนเรื่องบังเอิญที่ได้พบหน้ากัน หากแต่ท่าทางไว้ตัวมากพิธีของเผิงเซิ่งอี้ เมื่อองค์หญิงหงหญ่าทรงถามเขาต่อมาหนึ่งประโยค ชายหนุ่มก็เพียงตอบกลับสั้นๆ ไม่สรรหาเรื่องมาคุยต่อ ในอีกสองสามประโยคต่อมาก็ทำให้หมดเรื่องที่จะคุยกับเขา จังหวะพอดีว่ามีคนผู้หนึ่งโผล่พรวดมาไม่รู้เหนือใต้ จึงปลีกพระองค์จากเขามาด้วยความเสียดาย“หวังว่าข้าคงไม่ทำให้กริ้ว” เหอเติ้งเหลย รองแม่ทัพคนสนิทของ เผิงเซิ่งอี้เปรยอย่างหวั่นใจ เมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าสตรีท่าทางเย่อหยิ่งที่เพิ่งเดินจากไปคือผู้ใดกิตติศัพท์ขององค์หญิงหงหญ่านั้นขึ้นชื่อว่าเอาแต่พระทัย พระอารมณ์ร้อน ใครขัดพระเนตรพระกรรณหรือขัดพระประสงค์ ก็มีอันจะต้องพบเจอเรื่องไม่งดงามในชีวิต เพราะเป็นราชธิดาซึ่งเยาว์ชันษาของพระชนนี และมีองค์จักรพรรดิคอยให้ท้าย“ว่าแต่ว่าข้าไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะหรือขัดขวางเรื่องดีๆ ของท่านหรอกนะ” แม้ชายหนุ่มเป็นรองแม่ทัพ อายุห่างกันปีเศษ แต่ร่วมสมรภูมิมาด้วยกันจนสนิทชิดเชื้อดั่งเพื่อนตาย นอกเหนือจากรับคำสั่งเมื่ออยู่ในกองทัพยามปรกติ เผิงเซิ่งอี้จึงเป็นคนที่สามารถพูดคุยได้อย่างไม่ถือตัว “ปากอย่างนี้ ระวังจะไม่ได้ตายในสนามรบ”เหอเติ้งเหลยไหวไหล่ ใช่ว่าไม่กลัวตาย ทว่ากวาดตามองดูก็เห็นมีเพียงเขาและแม่ทัพหนุ่มตามลำพังแล้ว“ข้าก็พูดอย่างที่ข้าเห็น ข้ารู้สึก ขนาดแกมบังคับให้ท่านมาร่วมงานเลี้ยงให้ได้ คงไม่ธรรมดาแล้วละ” ชายหนุ่มเย้าแหย่ แต่เบาเสียงคล้ายกระซิบ“เจ้านี่นะ” เผิงเซิ่งอี้ชี้หน้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา “หาเรื่องให้ข้าต้องลำบากทำพิธีศพให้เจ้าเสียจริง เจ้านายจะคิด จะทำอะไร เราไม่มีสิทธิ์วิพากษ์ กลับเข้าไปในงานได้แล้ว!” เหอเติ้งเหลยทำหน้าบึ้งที่ถูกแช่ง ก่อนยอมหันกายกลับเข้าไปร่วมงานเลี้ยงต่อ โดยมีเผิงเซิ่งอี้ซึ่งคิดว่าการร่วมงานรื่นเริงเป็นงานอีกชิ้นที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น จึงตามติดเข้าไป ในใจแม่ทัพหนุ่มหวังว่าเรื่องจะไม่เป็นดั่งสหายรุ่นน้องคิดองค์หญิงหงหญ่ากับเขานี่นะ...ไม่มีทาง!
ชอบมากๆค่ะ
25/05
0สนุก
11/11
0ดูทั้งหมด