logo
logo-text

ดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้ภายในแอพ

6

วันรุ่งขึ้น ฟังเยว่ฉิวหาผลไม้ในป่ากินประทังความหิว จวบจนเมื่อ ยามบ่ายนางจึงกลับไปที่กระท่อม ด้อมๆ มองๆ อยู่นานไม่พบวี่แววสองพ่อลูก จึงรีบเข้าไปเก็บเสื้อผ้าและหนังสือซึ่งเป็นหนึ่งของแทนตัวจากพ่อผู้ล่วงลับ เงินเก็บสะสมซุกซ่อนไว้นั้นพอมีติดตัว เก็บห่อสัมภาระเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ออกไปเคารพหลุมศพพ่อทั้งน้ำตาเป็นครั้งสุดท้าย
“เยว่เอ๋อร์จำเป็นต้องไป สักวันจะกลับมาที่บ้านของเราอีกครั้ง” บิดาและกระท่อมที่อยู่อาศัยมาแต่เยาว์วัยสร้างความอาลัยอาวรณ์ให้ หญิงสาวไม่น้อย สิ้นคำพูด สายลมวูบหนึ่งพัดมากระทบใบหน้าละม้าย ฝ่ามือหนาของผู้มีพระคุณลูบปลอบประโลม นางปล่อยน้ำตาไหลริน เข้าใจว่าผู้เป็นพ่อรับรู้ความจำเป็นของนางแล้ว
ฟังเยว่ฉิวเข้าไปในตัวเมืองไท่ซาเพื่อนอนค้างคืนที่สำนักชี รุ่งเช้าของอีกวัน นางเข้าไปในตลาดเพื่อซื้ออาหารเป็นเสบียงระหว่างเดินทางข้ามเมือง บังเอิญพบจ้านเปียวกำลังขู่เข็นใช้กำลังกับขอทานพิการคนหนึ่ง หญิงสาวรีบหลบเข้าไปในตรอกเล็ก นางดึงผ้าขึ้นคลุมผมปิดบังหน้าตา เมื่อเสียงเอะอะด้านนอกเงียบไปแล้ว จึงค่อยโผล่หน้าออกมา รู้สึกโล่งใจที่นางคลาดกับชายผู้นั้น
ขณะกำลังจะเดินออกจากตรอก เท้านางย่ำลงบนกระดาษประกาศของทางการซึ่งตกอยู่ และมันก็ขาดแหว่งวิ่นไปบางส่วน คนในภาพวาดสะดุดตาจนต้องเพ่งมองซ้ำ นางก้มตัวหยิบมันขึ้นมา และฟังเยว่ฉิวก็เห็นอักษรตัวหนึ่งถูกเขียนเด่นชัดอยู่ด้านข้าง นางรีบดึงป้ายหยกขาวห้อยคอออกมาเทียบ
มันเป็นอักษรตัวเดียวกัน และคนในภาพก็คือพี่ต้าเผิงของนาง!
หะแรกนั้นฟังเยว่ฉิวดีใจแทบโห่ร้อง ทว่าอึดใจต่อมากลับเกิดความวิตกจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี เพราะกระดาษที่นางเก็บได้เป็นประกาศของทางการ ใจคอร้อนรนอยากรู้ข้อความบนประกาศจึงรีบกลับไปยังสำนักชี มีแม่ชีผู้หนึ่งรู้หนังสือดีจึงอ่านประกาศแผ่นนั้นให้นางฟัง
“ประกาศตามหาคน แม่ทัพเผิง...แต่จะชื่ออะไร ข้าก็อ่านไม่ออก เพราะกระดาษส่วนนี้มันขาดไปแล้ว”
แม่ทัพเผิง...ต้องใช่เขาแน่ บนป้ายหยกขาวสลักคำว่า ‘เผิงเอ้อร์’ เพราะคำนี้นั่นเองจึงทำให้ชายหนุ่มตั้งข้อสันนิษฐานว่าตัวเองต้องมีพี่น้อง เขาจดจำชื่อและที่มาของตัวเองไม่ได้ เพราะรูปร่างสูงกำยำ บึกบึน ท่วงท่าทะมัดทะแมง จึงทำให้นางกับพ่อเรียกเขาว่า ‘ต้าเผิง’
หรือว่าตอนนี้เขากลับบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว แต่เพราะเหตุใดเขาจึงจากนางไปโดยไม่ล่ำลาเล่า
ความดีใจมาพร้อมความคิดสับสนวุ่นวาย มือของฟังเยว่ฉิวเกิดอาการสั่นจนผู้อยู่ในร่มแห่งธรรมยื่นมือมากุมมือของหญิงสาวไว้
“เขาคือสามีที่เจ้ากำลังตามหาอย่างนั้นหรือ”
ฟังเยว่ฉิวพยักหน้า “หาได้มีเพียงข้าที่ตามหาเขา ครอบครัวของเขาก็ตามหาเขาเช่นกัน”
“เจ้าน่าจะนำประกาศนี้ไปถามกับกรมเมืองดูนะ”
หญิงสาวเชื่อคำแนะนำของแม่ชี รุ่งขึ้นจึงไปที่กรมเมือง แต่ไม่ได้บอกถึงฐานะตนซึ่งเกี่ยวพันกับแม่ทัพเผิงสูงศักดิ์ เพียงแสร้งสอบถามด้วยความอยากรู้เช่นชาวบ้านทั่วไปว่า ชายหนุ่มตอนนี้อยู่ที่ใด มีใครพบตัวแล้วหรือยัง
“แม่ทัพเผิงเซิ่งอี้เขากลับถูหยางไปร่วมเดือนได้แล้ว ตอนนั้นมีทหารหนึ่งกองพลอารักขาเขาที่ได้รับบาดเจ็บกลับไปด้วย”
เผิงเซิ่งอี้...สามีนางชื่อเผิงเซิ่งอี้ ฟังเยว่ฉิวระงับความดีใจที่กำลังจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา เพราะข่าวร้ายเรื่องเขาได้รับบาดเจ็บ!
“เขา...เขาเป็นอะไรเจ้าคะ”
เจ้าหน้าที่กรมเมืองมีสีหน้าสงสัย ที่หญิงชาวบ้านดูเหมือนจะอยากรู้เรื่องนายทหารระดับสูงผู้นั้นนัก
“เอ่อ...ข้าบอกท่านแล้วว่าเหมือนข้าเคยพบเขา พอเห็นประกาศรู้ว่าเขาเป็นคนสำคัญ ก็เลยอยากรู้ว่าแม่ทัพคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“ช่วงที่มีคนพบตัวเขาเกิดการปะทะกับคนกลุ่มหนึ่ง เขาตกหลังม้า คนพวกนั้นเข้าใจว่าเป็นพวกศัตรูต่างแคว้นติดตามมาอย่างไรนี่แหละ ข้าก็รู้อะไรไม่มากนักหรอก เพราะทหารจากเมืองหลวงพวกนั้นทำท่าว่ามันเป็นความลับสุดยอด เขาพักอยู่แค่หนึ่งคืนก็ออกเดินทางกลับถูหยางทันที”
เมื่อรู้แน่ชัดว่าสามีของนางอยู่ที่ถูหยาง อีกทั้งรู้ตำแหน่งหน้าที่การงาน นางคงตามข่าวเขาได้ไม่ยาก
ฟังเยว่ฉิวกลับไปสำนักชีพร้อมความหวัง เมื่อชายหนุ่มปลอดภัยได้กลับบ้าน นางก็เบาใจกว่าครึ่ง รุ่งเช้านางจะรีบออกเดินทาง ให้ห่างไกลสองพ่อลูกสกุลจ้านได้เท่าไรยิ่งดี แต่หนทางยาวไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง เงินเก็บอาจจะไม่พอ หญิงสาวจึงเริ่มวางแผนจะทำงานแลกข้าวแลกที่อยู่เพื่อหาเงินใช้จ่าย
คืนนี้ฟ้าเปิด ไร้เมฆบดบังเสี้ยวจันทร์ หมู่ดาราพริบแสงตระการเต็มท้องนภา ฟังเยว่ฉิวออกมานั่งรับลมที่หน้าเรือนพักหลังอาราม
เห็นพระจันทร์ในวงล้อมกรอบสายตาแล้วก็ยิ่งคิดถึงค่ำคืนที่นางและเขานั่งชมจันทร์ร่วมกัน ความทรงจำแสนหวานของคืนหิมะสร่างฟ้าซึ่งเขาอ่านหนังสือเรื่องวาสนาชาติหนึ่งให้นางฟังจนจบเล่ม ยังตราตรึงใจมิรู้ลืม
‘นั่นหนังสืออะไรในมือของเจ้า’
‘ท่านพ่อซื้อให้เยว่เอ๋อร์เมื่อตอนอายุสิบสอง เยว่เอ๋อร์กับท่านพ่อไม่รู้หนังสือ แต่บัณฑิตที่ขายหนังสือเล่มนี้เขาอ่านให้เยว่เอ๋อร์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว’
นางยื่นส่งหนังสือให้ชายหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางสนอกสนใจของเขา
‘วาสนาชาติหนึ่ง’
‘ท่านรู้หนังสือหรือ’
‘ก็คงอย่างนั้น’ เขายิ้มให้นาง ‘สูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ได้สูญเสียการเรียนรู้ที่เคยมี นอกจากรู้หนังสือ ข้าคิดว่าตัวเองคงทำอะไรที่พิเศษเป็นอีกหลายอย่าง’
‘เยว่เอ๋อร์มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น’ ลักษณะท่วงท่าองอาจมาดมั่น เสื้อผ้าติดกายเมื่อนางพบเขาครั้งแรกก็ตัดเย็บประณีต อีกทั้งป้ายหยกขาวติดตัวทำให้นางและท่านพ่อสันนิษฐานว่าเขาต้องมาจากตระกูลสูงส่ง
‘เจ้าอยากจะฟังข้าอ่านหนังสือเรื่องนี้อีกรอบหรือไม่’
เขาคงคิดตอบแทนน้ำใจที่นางคอยดูแลเขาระหว่างพักฟื้นกระมัง นางพยักหน้ารับ นางชอบฟังน้ำเสียงนุ่มนวลทุ้มต่ำของเขาเวลาพูด แล้วเขาก็ค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษอ่านเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นให้นางฟังท่ามกลางแสงจันทร์และแสงของตะเกียงบนแคร่ไม้ไผ่
‘ที่เมืองทางตอนใต้ของแคว้นเหยา มีสองบ้านร่วมกำแพง ซีเล่อบัณฑิตหนุ่มวัยสิบเจ็ดผู้ขยันเล่าเรียน มุ่งมั่นจะเป็นขุนนางรับใช้บ้านเมืองและเชิดชูวงศ์ตระกูล บิดามารดาขยันค้าขายจนกิจการมั่งคั่ง ส่วนผิงอิงวัยสิบห้าต้องทุกข์ยากลำบากทั้งกายและใจเมื่อบิดากับพี่ชายมุ่งแต่อบายมุข จนฐานะของครอบครัวตกต่ำลงเรื่อยๆ
ความรักบริสุทธิ์ผูกสัมพันธ์แต่ครั้งเยาว์วัยของสองหนุ่มสาวถูกขัดขวางจากครอบครัวของซีเล่อ เขาถูกบังคับส่งตัวไปศึกษายังต่างเมือง ครอบครัวปิดกั้นทุกหนทางไม่ให้เขาติดต่อผิงอิง เมื่อซีเล่อสอบเป็นขุนนางได้ สามปีให้หลังจึงกลับมายังบ้านเกิด
ครั้นได้พบหน้าอีกครั้ง สองหนุ่มสาวซึ่งถวิลหากันอยู่ทุกลมหายใจต่างลอบคบหาจนรักลึกซึ้งแน่นแฟ้น สัญญามั่นขอรักกันตราบฟ้าดินมลายหน้าเฒ่าจันทรา เป็นความตั้งใจจริงของซีเล่อจะแต่งผิงอิงเป็นภรรยา ทว่าบิดามารดากลับไปสู่ขอและทาบทามไป๋เยี่ยนบุตรสาวร้านขายใบชาซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองให้เขา
ผิงอิงร่ำไห้คร่ำครวญกับโชคชะตาอาภัพที่ถูกครอบครัวของซีเล่อรังเกียจ ด้านซีเล่อนั้นก็เสียใจดื่มเหล้าจนเมามาย เพราะผิงอิงเป็นกำลังใจให้เขาพยายามสอบรับราชการ เพื่อสักวันจะได้กลับมารับนางออกจากครอบครัวที่ร้ายกาจของนาง
ราวกับสองยวนยางถูกพรากยังไม่เกิดความเจ็บช้ำพอ ผิงอิงถูกบิดาขายเป็นภรรยาน้อยของเศรษฐีผู้หนึ่ง ขบวนเจ้าสาวจะมารับผิงอิงในวันที่ขบวนเจ้าสาวจากบ้านของซีเล่อออกไปรับไป๋เยี่ยนเช่นกัน
ก่อนวันแต่งงาน ผิงอิงลอบออกจากบ้านไปนั่งร้องไห้ที่ศาลเฒ่าจันทรา เสียงคร่ำครวญถามท่านผู้เฒ่าไยใช้กรรไกรตัดวาสนาตัดด้ายแดงของนางและซีเล่อ
เฒ่าจันทราปรากฏกายเพราะความอาดูรของผิงอิง บอกว่ามันเป็นเคราะห์รักที่สองหนุ่มสาวต้องพบเจอจากผลกรรมของอดีตชาติ เฒ่าจันทรายื่นขอเสนอให้ผิงอิงได้ครองคู่กับซีเล่อและมีทายาทให้เขา แลกกับการที่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามปี
ผิงอิงได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง นางยินดีให้ซีเล่อมีความสุขกับหญิงอื่น ยินดีที่ได้เห็นเขามีอายุยืนนานมากกว่าต้องประสบเคราะห์ร้ายเพราะนาง ผิงอิงไม่รับข้อเสนอของเฒ่าจันทรา ยินดีก้มหน้ารับชะตากรรมที่ถูกขายแต่งเป็นเมียน้อย
หลังจากผิงอิงกลับไปแล้ว ซีเล่อก็มาที่ศาลเฒ่าจันทรา ความโศกเศร้าของชายหนุ่มเรียกเฒ่าจันทราให้ปรากฏกายเช่นกัน เฒ่าจันทรา บอกจะให้ทั้งสองได้ครองรัก แต่เขาจะอายุสั้น ซีเล่อตอบตกลง ขอแค่ได้แต่งผิงอิงเป็นภรรยา ต่อให้อยู่ได้อีกวันเดียวเขาก็ยอม ทว่าเฒ่าจันทรากลับบอกว่าหลังจากเขาตาย ผิงอิงจะต้องผจญวิบากกรรมอีกหลายประการ
ซีเล่อฟังแล้วจึงปฏิเสธที่จะแต่งกับผิงอิง เพราะเขาทนไม่ได้เมื่อต้องจากไปโดยทิ้งนางไว้กับความลำบากแสนสาหัส หากเขามีเวลาชีวิตมากพอ เขาขอแลกชีวิตสามสิบปีของเขาให้เปลี่ยนชะตาของผิงอิง ให้นางได้แต่งกับผู้ชายที่ดีและอยู่อย่างผาสุข
ถึงวันแต่งงาน ผิงอิงขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เดินทางไปยังบ้านเศรษฐีสวนกับขบวนเจ้าสาวของไป๋เยี่ยนบนสะพานข้ามแม่น้ำ จู่ๆ ก็เกิดพายุฝนฟ้ากระหน่ำทันใด เกี้ยวของเจ้าสาวทั้งสองเกิดเกี่ยวชนจนพลัดตกลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกราก

หนังสือแสดงความคิดเห็น (2)

  • avatar
    สุภาพรฯ สิงห์คำ

    ชอบมากๆค่ะ

    25/05

      0
  • avatar
    ศุภกิจ ปิ่นเกตุ

    สนุก

    11/11

      0
  • ดูทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด