logo
logo-text

ดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้ภายในแอพ

2

‘พี่ต้าเผิง’
เจ้าของเรือนร่างกำยำ สูงใหญ่ ซึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างสะดุ้งตื่นกับเสียงเรียกซึ่งเหมือนได้ยินติดริมหู หลายค่ำคืนแล้วที่ชายหนุ่มฝันแบบเดิมซ้ำๆ ในฝันเขาเห็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่งยืนท่ามกลางหิมะขาวโพลน ทว่าเมื่อเขาในความฝันก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ภาพฝันเหล่านั้นกลับเลือนราง และเมื่อเขากวาดฝ่ามือหวังคว้าร่างนางผู้นั้น เขาเป็นต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทุกครั้ง
นางคือใคร...เขาเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกราตรี
ฤดูสรรพสัตว์ตื่นจากจำศีล ทว่าความทรงจำของเขาช่วงหนึ่งคล้ายถูกจองจำไว้เบื้องลึก ภาพซึ่งพบเห็นในภวังค์ความฝันจะใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง และเป็นเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ที่ตัวเองได้ประสบหรือไม่นั้น เขาก็มิอาจชี้ชัด
เผิงเซิ่งอี้ลุกจากเตียงนอนแล้วคว้าเสื้อคลุม เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังตื่นจากความฝันอันเลือนรางจึงต้องออกไปยังหอจันทร์กระจ่างทุกครั้ง
บนหอจันทร์กระจ่าง แม่ทัพหนุ่มของแคว้นหมิงอานเงยหน้าขึ้นมองยังเวิ้งฟ้าซึ่งงามงดแม้ประดับด้วยจันทร์ครึ่งดวง แสงนวลใยให้ความรู้สึกสงบเย็นระคนใคร่ค้นหาอยู่ลึกๆ
ฤๅฟ้าเบื้องบนจะให้เขาถามความจริงกับดวงจันทรา
...ช่วงเวลาสองเดือนกว่าที่เขาหายตัวไป เขาอยู่ที่ใดและอยู่กับใคร
การออกมาชมจันทร์กลางดึกบ่อยครั้งมิใช่วิสัยแต่เดิมของเผิงเซิ่งอี้ ไม่เฉพาะชายหนุ่มที่รู้ถึงความผิดปรกติของตนเอง เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งผิดแผกจนต้องอยู่ในสายตาของพ่อบ้านหลี่เฉา เพื่อคอยรายงานเผิงฟูเหรินด้วยเช่นกัน
“แต่ไหนแต่ไรพี่เซิ่งอี้ไม่ใช่คนชอบชมเดือนชมดาว บุคลิกด้านนุ่มนวลเช่นนี้อวี้เอ๋อร์ไม่คุ้ยเคย” ฉงอวี้หลิงเปรยขณะจัดแต่งผมให้นางถังจิ่วหยิน
“หรือคุณชายรองกำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่เจ้าคะ” จ้าวนี สาวใช้คนสนิทออกความเห็น
“เผิงเอ้อร์น่ะหรือมีเรื่องปิดบัง”
“เจ้าค่ะ...ข้าว่าคุณชายอาจจะยังรู้สึกปวดหัวหรือยังไม่สบายตัว จะพบท่านหมอบ่อยไปก็เกรงจุกจิกเกิน คุณชายนอนไม่หลับก็เลยออกไปสูดอากาศนอกห้อง”
“อวี้เอ๋อร์คิดแบบเดียวกับป้าจ้าว” หญิงสาววางหวีลง เสียบปิ่นอันสุดท้ายลงมวยผมบนศีรษะซึ่งแซมด้วยเส้นผมสีเทาบางส่วนของฟูเหริน แม่ทัพเผิงฉานตัน
“เราคงต้องตามท่านหมอฉางมาตรวจอาการพี่เซิ่งอี้อีกครั้ง ดับตะเกียงแล้ว แต่กลางดึกมักลุกจากเตียงออกมาตากลมตากน้ำค้าง อวี้เอ๋อร์ห่วง เกรงพี่เซิ่งอี้จะพักฟื้นไม่พอ”
“เป็นความคิดที่เข้าท่า ประเดี๋ยวป้าจะถามพี่เซิ่งอี้ของเจ้าสักหน่อย เจ้าลูกคนนี้ หากไม่เค้นถามก็ไม่พูด พอถามบ่อยเข้า ก็มักหาว่าแม่คนนี้จู้จี้”
“นั่นเพราะเขาไม่อยากให้ท่านป้าเป็นกังวลนะเจ้าคะ”
นางถังจิ่วหยินจับมือฉงอวี้หลิงมากุมไว้ “มีเจ้ารู้ใจเขา ป้าก็วางใจว่าเผิงเอ้อร์ต้องมีคนดูแลที่ดีแน่ มุกแท้อยู่ใกล้มืออย่างนี้แล้ว เจ้าลูกไม่รักดีก็ช่างตาไร้แววเสียจริงเชียว”
ฉงอวี้หลิงยิ้มเอียงอาย สบตามารดาของชายในดวงใจด้วยความขัดเขิน
หญิงสาวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลเผิงได้เพราะนางถังจิ่วหยินซึ่งเป็นเพื่อนรักของมารดารับอุปการะหลังจากผู้เป็นแม่สิ้นบุญเมื่อนางอายุเพียงสิบขวบ ตัวนางเป็นสตรี ซ้ำยังเกิดจากฟูเหรินสาม จึงไม่เป็นที่ต้องการของบิดาและครอบครัวมากนัก ที่จวนแม่ทัพสกุลเผิง นางได้รับการเลี้ยงดูในฐานะหลานสาวของเผิงฟูเหริน และบังเอิญเหลือเกินที่นางแอบได้ยินว่าตนเองถูกวางไว้ในตำแหน่งเจ้าสาวของเผิงเซิ่งอี้ด้วยความเห็นชอบของนางถังจิ่วหยินตั้งแต่อายุสิบสี่
ปีนี้ฉงอวี้หลิงจะอายุสิบแปดปีเต็ม ส่วนเผิงเซิ่งอี้ก็จะครบยี่สิบสี่ ชายหนุ่มกรำศึกและงานราชการทหารมานานปี เมื่อศึกกับหนานลู่จบสิ้นลง นางถังจิ่วหยินคิดว่าเป็นโอกาสเหมาะสมที่บุตรชายจะแต่งงานเป็นเรื่องราว ใช่ว่านางไม่เคยเปิดโอกาสให้บุตรชายหาหญิงถูกใจแต่งเป็นภรรยาด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดเผิงเซิ่งอี้ก็ยังทำนิ่งเฉยกับเรื่องสืบทายาทสกุลเผิง นางจึงคิดแต่งลูกสาวของเพื่อนรักเป็นสะใภ้ใหญ่เสียเอง แล้วค่อยให้บุตรชายแต่งภรรยารองที่ถูกใจเขาคราวหลัง
หลังอาหารเช้าผ่านไป เผิงฉานตันปลีกตัวไปสะสางงานยังห้องหนังสือ ส่วนมารดาเผิงฉานตันวัยเจ็ดสิบต้นๆ ก็กลับเรือนประจิมพร้อมคนสนิททั้งสองนาง ที่ห้องโถงกลาง เผิงเซิ่งอี้จึงถูกนางถังจิ่วหยินรั้งตัวไว้ เพราะไม่อยากเอ่ยถามถึงอาการปวดศีรษะของเขาต่อหน้าผู้เป็นย่า
ระหว่างหลานชายออกศึกจนมาเกิดเหตุการณ์หายตัวไปนั้น หญิงชราห่วงกังวลกับความเป็นความตายของเขาจนล้มป่วย สกุลเผิงรับใช้ ราชสำนักมาสามชั่วคน ล้วนแต่เป็นลูกชายโทน เพิ่งมารุ่นสี่มีหลานชายสองคน ทว่าหลานชายคนโตพลีชีพในสนามรบไปนานหลายปี ซ้ำยังไม่ได้แต่งงานมีทายาท เผิงเซิ่งอี้จึงเป็นความหวังเดียวที่จะมีทายาทไว้สืบสกุล เมื่อสิ้นสุดสงครามและกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย ต่างก็เบาใจว่าชายหนุ่มจะอยู่รับราชการในกำแพงเมืองให้พออุ่นใจบ้าง
“ที่หอจันทร์กระจ่าง มันเหมือนจะช่วยให้ข้าคิดอะไรออก” เผิงเซิ่งอี้ตอบคำถามและยิ้มให้มารดาเล็กน้อย “แต่เอาเข้าจริง ข้าก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนเดิม”
“หากเจ้าปวดหัวก็ไม่ต้องคิด” นางถังจิ่วหยินสั่งห้าม “จำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ต้องจำ ไม่ต้องพยายามคิดถึงอดีตที่ผ่านมาอีก ในเมื่อตัวเจ้ากลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแล้วนี่”
ให้เลิกพยายามคิดถึงอดีตที่หายไปอย่างนั้นหรือ...
แล้วสตรีที่วนเวียนอยู่ในความฝันนั่นเล่า ไม่ต้องคิดถึงด้วยใช่หรือไม่...
“อย่าเพิ่งเร่งรัดตัวเองมากนักเลยพี่เซิ่งอี้ ท่านกลับมาบ้านยังไม่ครบเดือนเลย สงครามกับแคว้นหนานลู่ที่ผ่านมาก็ทำท่านเครียดมากพอแล้ว รู้ว่าท่านนอนไม่หลับ พวกเราก็เป็นห่วง จากนี้อวี้เอ๋อร์จะตุ๋นน้ำแกงบำรุงให้ท่านก่อนนอนทุกคืนดีหรือไม่”
“ป้าสนับสนุนความคิดเจ้านะอวี้เอ๋อร์” มารดารีบสนับสนุน แม้บุตรชายดูเหมือนไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์อะไรนอกจากความเป็นพี่น้องกับฉงอวี้หลิงก็ตาม เผิงเซิ่งอี้ไปศึกนอกด่านติดๆ กันหลายปีแล้ว หนนี้ได้กลับมาอยู่บ้าน ระหว่างพักรักษาตัว อาจพอมีหวังที่ความใกล้ชิดจะทำให้เขารู้สึกรักใคร่อวี้เอ๋อร์ของนางบ้าง
“ลำบากเจ้าแล้วเสี่ยวฉง แค่น้ำแกงของป้าจ้าวก็พอแล้วกระมัง”
“ไม่พอเจ้าค่ะ ไม่พอ” จ้าวนีรีบโบกไม้โบกมือทัดทาน “น้ำแกงของข้ามันพื้นๆ เกินไป เมื่อวานสกุลหูเอายาบำรุงมากำนัลนายหญิงหลายเทียบ สรรพคุณตัวยาล้วนล้ำเลิศ ป้าต้องดูแลนายหญิง เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี ให้คุณหนูฉงจัดการเรื่องน้ำแกงบำรุงคุณชายเหมาะแล้วเจ้าค่ะ”
“หรืออวี้เอ๋อร์ทำอะไรไม่ถูกใจพี่เซิ่งอี้” หญิงสาวมีสีหน้าน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“หลายปีมานี้ท่านไม่อยู่บ้านให้อวี้เอ๋อร์ดูแลเลย พอท่านบาดเจ็บ ไม่สบาย ท่านย่ากับท่านป้าก็คิดมาก อวี้เอ๋อร์ก็แค่อยากแบ่งปันความทุกข์ของพวกนางลงบ้าง”
“แต่...”

หนังสือแสดงความคิดเห็น (2)

  • avatar
    สุภาพรฯ สิงห์คำ

    ชอบมากๆค่ะ

    25/05

      0
  • avatar
    ศุภกิจ ปิ่นเกตุ

    สนุก

    11/11

      0
  • ดูทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด