“นรีหอบของมาแล้วด้วย ไม่ยอมกลับหรอกนะ” ฉันพูดอย่างคนที่เคยถูกตามใจเสียจนเคยชิน ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะยอมกลับไปง่าย ๆ เสียศักดิ์ศรีแย่เลย“ถ้างั้นก็อยู่นั่นละ” พี่ชายสรุปในที่สุด “บ้านนั้นมีห้องว่างอีกสองห้องไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างอยู่ก็ได้ เจ้าคีมันคงไม่กวนนรีเท่าไหร่หรอก ดีเสียอีกที่มีผู้ชายอยู่ด้วยจะได้ปลอดภัยหน่อย บ้านหลังนั้นเปลี่ยวเหมือนกันนะ เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ขอพี่คุยกับมันหน่อย” พี่ชายตัดบท ฉันเลยต้องยื่นโทรศัพท์กลับไปให้เจ้าของอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้นเสียงของคนที่พี่นุเรียกว่าคีตาคุยกับพี่นุอีกสองสามคำเรื่องงานที่ทำค้างอยู่ เขาบอกว่าเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว“เออ จะดูแลให้… จริง ๆ แล้วน้องเอ็งท่าทางก็…ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอก เออ ๆ โอเค แล้วเจอกัน มีอะไรข้าจะโทร. ไปบอกนะ”“ฉันไม่ต้องการคนดูแล” ฉันแหวเข้าใส่เขาทันทีที่เขาปิดโทรศัพท์ พี่นุทำราวกับว่าฉันเป็นเด็กสองขวบ ที่จริงฉันสามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้วผู้ชายตรงหน้ายักไหล่อย่างยียวนกวนประสาทที่สุด“ก็ดี เพราะผมไม่ถนัดจะดูแลใครอยู่แล้วด้วย แต่ไหน ๆ เราต้องอยู่ด้วยกันแล้วนี่ อย่างน้อยผมต้องอยู่ที่นี่อีกหนึ่งอาทิตย์ละ เพราะฉะนั้นเราควรจะมาตกลงอะไรกันเสียหน่อย…ว่าไง”“ว่ามาสิ”“ผมต้องการความสงบ”เราสองคนจ้องตากัน ไม่มีใครหลบตาใคร“ฉันด้วย”“งั้นเรามาตกลงกัน เราจะไม่เกี่ยวข้องกันโดยไม่จำเป็น”“ก็ดี”ฉันหยิบกระเป๋าข้าวของเตรียมขึ้นข้างบน เลิกวิสาสะกับผู้ชายตรงหน้าทันที“แต่อย่างน้อยผมว่าเราควรรู้จักชื่อกันหน่อยนะ ผมชื่อคีตา เรียกว่าคีก็ได้”“ฉันชื่อนรี คุณคงรู้แล้วเพราะเพิ่งดูบัตรประชาชนของฉันไป” ฉันตอบหน้าตาไม่บอกอารมณ์อะไร “แค่นี้คงรู้จักกันพอแล้วนะ” แล้วก็หอบข้าวของทั้งหมดยกเว้นเฟรมเขียนรูปขึ้นห้องไปอากาศร้อนอบอ้าวราวกับว่าฝนกำลังจะตก ฉันหอบข้าวของที่จำเป็นสำหรับการเขียนรูปไปได้ครึ่งทางแล้วต้องเปลี่ยนใจหอบทุกสิ่งทุกอย่างกลับบ้านพัก ไม่อยากเสี่ยงกับการที่ข้าวของจะต้องเสียหายโดยไม่จำเป็นงานวาดรูปเป็นงานอดิเรกของฉัน ส่วนอาชีพจริง ๆ คือนักออกแบบตกแต่งภายในหรือที่เรียกกันว่า มัณฑนากร หลังจากรับออกแบบคอนโดฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยแทบจะทั้งชั้นของตึกให้คุณกฤษณ์ เศรษฐีเจ้าของธุรกิจร้านจิวเวลรี่ชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาอยากให้เพิ่มภาพสำหรับติดฝาผนังสักสองสามภาพ ให้ฉันไปหามาให้ แต่หาเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ถูกใจเขาสักที …คนรวยมักจะเรื่องมากเสมอ...ฉันแอบบ่นกับเพื่อนร่วมงาน แต่ก็เพราะคนรวยพวกนี้ละที่ทำให้ฉันใช้ชีวิตสาวโสดอยู่ได้โดยไม่ต้องทำความเดือดร้อนให้ใคร‘ผมอยากได้รูปที่คุณวาด ได้ไหม’ตอนนั้นฉันมองคุณกฤษณ์อย่างงง ๆ‘เดชาบอกว่าคุณวาดภาพเป็นงานอดิเรก เอางานของคุณมาให้ผมดูหน่อย’เขาบอกว่าชอบงานของฉัน หลังจากฉันเอาภาพคอลเลกชันกล้วยไม้ที่วาดสะสมไว้มาให้เขาดู จริง ๆ แล้วคุณกฤษณ์ต้องการซื้อรูปภาพกล้วยไม้พวกนั้น แต่ฉันบอกว่าชุดนี้ไม่ขายเพราะอยากเก็บไว้เอง ในที่สุดเขาจึงเสนอให้ฉันวาดให้ใหม่ รูปอะไรก็ได้ที่เห็นว่าสามารถเข้ากับการตกแต่งของฉันได้ เขาตั้งราคารูปให้สูงเสียจนฉันอ้าปากค้างฉันกำลังอยากได้เงินสักก้อนมาดาวน์คอนโดฯ ใหม่ ที่มีทำเลอยู่ใกล้ที่ทำงานมากกว่าเดิม ไม่นึกว่าโอกาสมันจะลอยเข้ามาหาง่าย ๆ แบบนี้ถึงแม้คอนโดฯ ของคุณกฤษณ์จะกว้างขวางมาก แต่มันก็ยังเป็นคอนโดฯ อยู่ดี ฉันอยากได้บรรยากาศสบาย ๆ จึงออกแบบห้องและเครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นสีฟ้า ขาว และน้ำเงินเข้ม ภาพที่เหมาะกับมันคงจะต้องเป็นวิวชายทะเลนั่นทำให้ฉันหอบงานมาทำที่ชะอำหลังจากที่ใช้เวลาเก็บและกวาดห้องซึ่งเป็นงานที่ฉันไม่ชอบเอาเสียเลยตลอดเช้า เนื่องจากเมื่อวานเพียงแต่ทำเตียงให้พอนอนได้ไปก่อน พอให้พ้นคืนหนึ่งเท่านั้น ตื่นมาก็พบว่าห้องเต็มไปด้วยฝุ่นที่แอบซ่อนอยู่ตามใต้ตู้ใต้เตียงเต็มไปหมดกว่าจะทำงานบ้าน ซึ่งฉันเกลียดนักเกลียดหนาพวกนั้นเสร็จก็สายจนแดดร้อน ฉันยังหวังว่าจะได้ร่างรูปสักเล็กน้อย แต่แดดกลับเปลี่ยนเป็นเมฆฝนราวกับว่าพระเจ้าไม่เต็มใจให้ฉันทำงานฝนเริ่มตกและลงเม็ดหนาขึ้นเรื่อย ๆ ฉันรู้สึกเซ็งในอารมณ์เป็นที่สุด เดินกลับเข้าบ้านอย่างรีบ ๆ เจอผู้ร่วมชายคาโดยไม่สมัครใจของฉันกำลังเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี ถือถ้วยกาแฟออกมาจากห้องครัว ถึงแม้จะสวมชุดสบาย ๆ อยู่กับบ้าน ฉันก็ยังรู้สึกว่าเขาแต่งตัวเนี้ยบเกินจำเป็นอยู่ดีเขามองฉัน แต่ทำเหมือนไม่เห็นแล้วเดินเข้าห้องเขาหน้าตาเฉย นั่นทำให้ฉันหงุดหงิดเป็นสองเท่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฉันคงไม่ต้องเสียเวลาอันยาวนานกับการทำความสะอาดอันไร้สาระพวกนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาซึ่งเป็นเพียงลูกจ้างของพี่ชาย แต่ทำท่าอย่างกับเจ้าของบริษัทบ่ายนั้นฝนเทลงมาอย่างหนัก เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากมองสายฝนโปรยปรายลงมาจากหลังคาบ้าน เดินไปเดินมาในห้องพักอย่างหงุดหงิด ไม่อยากจะลงไปข้างล่างเพราะไม่อยากเจอคนที่ยึดครองพื้นที่ชั้นล่างของตัวบ้าน ในที่สุดจึงหยิบหนังสืออ่านเล่นที่ติดมาด้วยมานอนอ่านแก้เซ็งและเผลอหลับไปเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีฝนก็ซาและค่อย ๆ หยุด และรู้สึกหิวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อลงมาข้างล่างไม่พบใคร ประตูห้องของศัตรูคู่อาฆาตปิดสนิท ความหิวทำให้อดที่จะเปิดตู้เย็นไม่ได้ อย่างน้อยกินน้ำรองท้องไปก่อนก็ยังดีในตู้มีแต่น้ำผลไม้ขวดหนึ่ง เบียร์ และกาแฟกระป๋อง เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นไม่มีใครจึงหยิบแก้วรินน้ำผลไม้ลงไปและดื่มรวดเดียวจนหมดฉันกำลังจะล้างแก้ว เพื่อนของพี่ชายก็เดินเข้ามาพอดีเขาขมวดคิ้ว มองแก้วในมือฉันแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน“หิวละสิ”“หิวน้ำ เลยกินน้ำผลไม้ของคุณไปแก้วหนึ่ง” ฉันอ้อมแอ้มตอบ รู้สึกแย่ชะมัดที่โดนจับได้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้“กินข้าวกลางวันหรือยัง” เขาวางถุงใบโตซึ่งบรรจุเครื่องดื่มกระป๋องและอาหารอีกหลายชนิดไว้บนโต๊ะก่อนเปิดตู้เย็น มองสำรวจในนั้นแล้วหยิบของที่เขาซื้อจัดลงไป“ฉันไม่ได้ขโมยอะไรของคุณกินหรอกน่า ยกเว้นน้ำผลไม้”“ถึงขโมยผมจะไปว่าอะไรได้ คุณมันน้องสาวเจ้านายผมนี่ จะกินหมดตู้เย็นก็ได้ กลับไปค่อยเบิกกับเจ้านุก็ได้” เขาตอบทันควันปากเสียชะมัดนายคนนี้ ฉันคิดในใจ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วดูเขาจะถนัดพูดจาเสียดสีคนอื่นให้ได้อารมณ์เสียดีนักละ สงสัยจะต้องแนะนำพี่นุให้ส่งนายนี่ไปอบรมหลักสูตรมนุษยสัมพันธ์เสียหน่อย ปากอย่างนี้คนไม่เกลียดกันทั้งบริษัทหรือ“ผมซื้อข้าวผัดมาฝาก” เขาหยิบกล่องข้าวจากถุงข้าวของของเขา “เห็นนอนกินบ้านกินเมืองตั้งแต่เช้าเลยคิดว่าคงหิวบ้าง เพราะหน้าตารูปร่างอย่างคุณคงไม่อดข้าวรักษาหุ่นหรอก”“นาย…” ฉันขยับจะหาคำมาโต้กลับให้สาสมกับความปากเสียของเขา แต่เขายืดตัวขึ้นจากตู้เย็นเสียก่อน“กินแล้วล้างจานด้วยนะ ผมไม่ชอบล้างจาน ผมจะไปอาบน้ำสระผมก่อน เจอฝนเข้าไปเซ็งจริง ๆ” พูดจบเขาก็เดินออกจากครัว ทิ้งให้ฉันมองข้าวผัดห่อนั้นอย่างชั่งใจว่าจะกินมันหรือว่าเอามันไปขว้างใส่หน้าคนปากเสียที่ซื้อให้ดี
ได้ความรู้ต่างๆ
1d
0อ่านฟินสุดๆ
2d
0สนุกมากๆค่ะ อ่านเพลินสุดๆ
3d
0ดูทั้งหมด