“เอาละๆ มัวแต่เถียงกันไปมาได้อะไร ให้อวี้เอ๋อร์จัดการไปตามนั้น ถ้าเจ้ายังปวดหัวเพราะเรื่องพยายามจะฟื้นความทรงจำอยู่แบบนี้ ท่านย่ารู้เรื่องเข้าเมื่อไร เราจะทุกข์ใจกันหมดละทีนี้”“ขอรับท่านแม่” เมื่อค้านมารดาไม่ได้ เผิงเซิ่งอี้ก็ยินยอมตามนั้น หลังออกจากห้องโถงใหญ่เรือนมารดา แม่ทัพหนุ่มก็ไปหาท่านย่าของเขาที่เรือนพักด้านทิศตะวันตก“ทำไมไม่พักผ่อนให้มาก ยังจะตามมาที่ห้องย่าอีก”แม้ภายนอกมีบุคลิกห้าวหาญ ดุดัน แต่เจ้าของร่างใหญ่โตกว่าคนเป็นย่าถึงสามเท่าก็ก้มตัวลงสวมกอดหญิงชราในอากัปกิริยาออดอ้อนราวเด็กเล็ก “เผิงเอ้อร์ขอกอดท่านย่าก่อน แล้วค่อยกลับไปนอนพัก”“เผิงน้อยของย่า...เผิงน้อยของย่า” หญิงชราพร่ำพูดด้วยความเอ็นดู เผิงเซิ่งอี้ถือได้ว่าเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากพี่ชายเจ็ดปี ระหว่างพ่อกับพี่ไปชายแดน เขาอยู่ในความดูแลของมารดาและผู้เป็นย่า จึงได้นิสัยด้านอ่อนโยนของอิสตรีมามาก ก่อนเข้าสู่เส้นทางทหารที่เคร่งครัดเป็นระเบียบแบบแผนไร้ข้อบกพร่องของบิดาด้วยหน้าที่ทายาทตระกูลแม่ทัพใหญ่ ชายหนุ่มประคองท่านย่าของเขานั่งที่เก้าอี้โยกเพื่อเอนหลัง ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กันเพื่อคลอเคลียเอาใจ ความทุกข์ใจครั้งใหญ่หลวงของผู้เป็นย่านั้นเขารู้ดี เมื่อครั้งสูญเสียพี่ชายไป “ที่เผิงเอ้อร์มากวนท่านย่าบ่อยๆ เผื่อท่านจะมีขนมให้”“เจ้าเด็กไม่รู้จักโต” เผิงไหน่ไน ตบหลังมือเขาเบาๆ “เผิงเอ้อร์ไม่อยากโต จะได้อ้อนท่านย่าได้ไม่ต้องอายผู้ใด” ท่านย่าของเขาเป็นสตรีร่างเล็ก สุขภาพไม่ดีนักเมื่อเข้าวัยหกสิบ ยิ่งผ่านพ้นวัยเจ็ดสิบ สุขภาพยิ่งทรุด หากมีเรื่องกระทบใจก็เจ็บป่วยได้ง่ายดาย แม้มารดาเขาจะจัดคนให้มาอยู่ดูแลเพิ่ม ท่านก็ไม่ต้องการ ในเรือนพักจึงมีเพียงอันหลิวอายุใกล้ห้าสิบและฮว่าเซียงสาวใช้วัยยี่สิบกลางๆ คอยดูแล“เป็นเพราะเผิงเอ้อร์ใช่หรือไม่ที่ทำให้สุขภาพท่านไม่ดี”ผู้เป็นย่าลูบหน้าหลานชาย “อย่ามาทำขี้แยนะเด็กโง่เอ้ย ย่าเจ้าปูนนี้แล้ว ต้องแก่ต้องตายเป็นธรรมดา ย่าเลือกแต่งกับปู่ของเจ้า ย่าก็เตรียมใจกับเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ก็นะ...บางครั้งเราก็ห้ามไม่อยู่ ใจคนเราก็แบบนี้”นางแต่งเข้าตระกูลทหารซึ่งรับใช้บ้านเมือง ลูกและหลานที่สืบต่อปณิธานแรงกล้าของบรรพบุรุษล้วนแต่เป็นเสาหลักของหมิงอาน ความตายในสนามรบของคนในครอบครัวถือเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เมื่อเข้าสู่วัยชรา จิตใจย่อมอ่อนแอลง“แต่ถ้าอยากเห็นย่าสุขภาพแข็งแรง ก็รีบมีเหลนให้ย่าไวๆ ย่าเจ้าอยากอุ้มเหลนแล้วหนา”“ท่านย่าจะอุ้มไหวรึ”“อุ้มไม่ไหว ย่าก็จะอุ้ม” หญิงชราวัยเจ็ดสิบยืนยันพร้อมรอยยิ้ม“แล้วเผิงเอ้อร์จะหาหลานสะใภ้จากไหนมาให้ท่านกันเล่า”“ก็คุณหนูฉงอย่างไรเล่าเจ้าคะ” อันหลิวซึ่งเข้ามารินชาเพิ่มให้สองย่าหลานเสนอความคิดของตนเผิงเซิ่งอี้นิ่งงันไปชั่วครู่ สีหน้าเรียบเฉยของเขาส่งผลให้หญิงชราเหลือบตามองหน้าคนสนิท แล้วหันกลับมาพูดกับหลานชายต่อ “หรือเจ้าไม่ชอบอวี้เอ๋อร์”“นางเป็นน้องสาวที่น่ารัก” ชายหนุ่มบอกความรู้สึกตามจริง เขาไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับฉงอวี้หลิงเพียงเพราะความต้องการของมารดา“แล้วเจ้าได้บอกกับแม่ของเจ้าหรือยังเล่า”ชายหนุ่มส่ายหน้า “เผิงเอ้อร์ยังไม่กล้าบอก”“ช้าไม่ได้แล้วนา อวี้เอ๋อร์อายุจะสิบแปดแล้ว หากเจ้าไม่ปฏิเสธแม่เจ้าให้เด็ดขาด นั่นก็เท่ากับตัดโอกาสของนางไปด้วย อย่างไรเสียย่าก็รักและเอ็นดูนางเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง เมื่อไม่ได้แต่งกับเจ้า ก็หวังเห็นนางแต่งกับชายผู้มาจากตระกูลดีเหมาะสมคู่ควร”“ขอรับท่านย่า” เผิงเซิ่งอี้รับปาก ใช่ว่าเขายอมรับฉงอวี้หลิงเป็นภรรยาไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่เขายังมีเรื่องหนึ่งติดใจอยู่ หากยังไม่สะสางให้รู้แจ้ง ในหัวเขาก็ต้องเกิดคำถามอยู่ร่ำไป เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงซึ่งอยู่ในความฝันของเขาคือใคร นางเกี่ยวพันกับเขาในฐานะใด เป็นคนหรือภูตผีวิญญาณ แต่งงานกับฉงอวี้หลิงแต่ใจยังพะวงหมกมุ่นกับเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ นั่นยิ่งจะทำร้ายใจนางเสียเปล่าออกจากเรือนพักของผู้เป็นย่าแล้ว เผิงเซิ่งอี้ก็มุ่งตรงไปหาบิดาที่ห้องหนังสือ วันพรุ่งเขาจะไปคารวะเสวี่ยอ๋องยังตำหนักเหมันต์พิศุทธิ์อีกครั้งเพื่อหารือเรื่องงานซึ่งอาจมีคั่งค้างอยู่ เพราะหลังจากรายงานตัวต่อองค์จักรพรรดิ เวลาเกือบเดือนชายหนุ่มก็พักรักษาตัวอยู่แต่ในจวน ไม่ได้ติดต่อกับผู้ใด นอกจากอยู่ต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการบาดเจ็บนอกจากซักถามเรื่องงานแล้ว ที่เขาอยากรู้อีกเรื่องก็คือตอนที่คนของเสวี่ยอ๋องพบตัวเขานั้น พอจะมีเบาะแสใดทำให้เขาสืบหาสตรีในความฝันนางนั้นได้บ้างเขาอยากรู้ นางมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงภาพฝันที่สมองอันสับสนมึนงงของเขาสร้างขึ้นกันแน่ภายในห้องนอนของฉงอวี้หลิง หน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ สาวใช้คนสนิทกำลังช่วยแปรงเรือนผมดำขลับให้สาวงามตั้งแต่โคนผมจรดปลายที่ยาวถึงสะโพกผาย“คุณชายดื่มน้ำแกงของคุณหนูหมดทุกวัน บ่าวยังแอบได้ยินนายหญิงเกริ่นเรื่องแต่งงานอยู่บ่อยครั้ง ไม่เกินปลายปีนี้ จวนเราต้องมีข่าวดีแน่เลยเจ้าค่ะ”ใบหน้านวลลออซับสีเรื่อทันใด มือน้อยบิดชายเสื้อตัวในด้วยความเขินอาย “เจ้าก็พูดไปเรื่อย หากไม่ได้ออกมาจากปากพี่เซิ่งอี้ ข้ามีหรือจะกล้าคิด”“คุณหนูก็ ท่านรู้อยู่แล้วนี่เจ้าคะ ว่านายหญิงเลือกท่านให้คุณชาย”“ท่านป้าเลือกข้าแล้วอย่างไร คนที่ต้องแต่งคือพี่เซิ่งอี้ หากเขาปฏิเสธข้าเล่า” ฉงอวี้หลิงเม้มปากเล็กน้อย ตั้งแต่วันรู้ว่านางคือว่าที่สะใภ้สกุลเผิง นางก็เฝ้ารอวันชายหนุ่มจะเปิดเผยความในใจที่มีต่อนางมาถึงสี่ปีแล้ว นางกลัวเหลือเกินว่าเขาจะแต่งหญิงอื่นที่ชาติตระกูลดีกว่านาง ส่วนนางคงเป็นได้แค่ฟูเหรินรองซึ่งเขารับไว้เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของมารดา และนางก็อาจจะต้องทนขมขื่นเพราะถูกกดขี่จากฟูเหรินที่เขารัก เพราะคงไม่มีสตรีคนไหนยินดีแบ่งปันสามีกับหญิงอื่นแน่“คุณชายรองปฏิเสธคุณหนูไม่ได้แน่ เชื่อเหมยเหม่ยนะเจ้าคะ อย่าลืมสิว่านายหญิงอยู่ข้างคุณหนู หากคุณหนูแต่งกับคุณชายรองได้ก่อน แล้วรีบมีทายาทให้สกุลเผิง คุณชายรองอาจจะรักคุณหนูคนเดียวก็เป็นได้ ดูอย่างท่านแม่ทัพสิเจ้าคะ ผู้ชายตระกูลเผิงไม่มีใครแต่งเมียน้อยสักคน”คำพูดของเหมยเหม่ยทำให้ฉงอวี้หลิงยิ้มออก นางรวบผมทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วสางเล่น เมื่อท่านป้าเอ็นดูนาง ก็ย่อมเป็นเกราะคุ้มกันอันดี ให้นางมีโอกาสทำดีกับชายหนุ่มไปเรื่อยๆ สักวันเขาก็คงรักนางได้ เหมือนอย่างที่นางค่อยๆ รักและเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้ใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเขา แม้เขาไม่ค่อยพำนักอยู่จวนก็ตาม นั่นเรียกว่าความผูกพันใช่หรือไม่ นางกับเขาผูกพันกันมาแต่เด็ก ความใกล้ชิดอาจจะทำให้เขาหวั่นไหวกับนางได้เช่นกัน ไหน่ไน แปลว่า ท่านย่า
ชอบมากๆค่ะ
25/05
0สนุก
11/11
0View All