logo
logo-text

Download this book within the app

8

เที่ยงนี้สือจิ่วไม่ได้ทำกับข้าวกินเอง เธอมากินข้าวที่บ้านถานตามคำชวนของท่านย่าหลิน
“กำลังตั้งท้องอ่อนๆ ยิ่งต้องระวัง เจ้าอยู่นิ่งๆ ไปก่อนเถอะ”
“ข้าอยากตรวจดูว่าของในบ้านมีจุดไหนต้องซ่อมต้องเปลี่ยนบ้างน่ะเจ้าค่ะ เตาฟืนยังใช้ได้ดี พอเข้าหน้าฝนหน้าหนาวจะได้หมดห่วง”
“เจ้าน่ะขี้เกรงใจไม่เปลี่ยน พวกเราไม่ใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย”
สือจิ่วยิ้มขอบคุณความใจดีของนาง ท่านย่าหลินทำกับข้าวมื้อละสามอย่าง นอกจากน้ำแกง อาหารสองอย่างเน้นเผ็ดร้อนและออกรสเลี่ยนเยิ้มด้วยน้ำมัน เธอสังเกตว่าท่านปู่มักไอบ่อยครั้ง อาหารที่กินอร่อยปากก็จริงแต่มีส่วนให้ระคายคอแน่ๆ
คนโบราณเจ็บป่วยและตายได้ง่าย เพราะวิวัฒนาการด้านการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าและไม่ทั่วถึง จะหาหมอสักคนยังเป็นเรื่องยาก อย่างท่านหมอเวินของหมู่บ้านก็ตรวจรักษาสารพัดโรคตั้งแต่ทารกยันแก่ชรา สมุนไพรพื้นฐานกับการฝังเข็มคงจะไม่ได้ผลครอบจักรวาลขนาดนั้น
นอกจากระวังเรื่องตัวเองกำลังตั้งท้อง สือจิ่วอยากตรวจสุขภาพแบบละเอียดสักหน่อย เจ้าของร่างเดิมเพราะตรอมใจกับชะตาชีวิต หลายเดือนก่อนจึงไม่ดูแลตัวเองเท่าไร แม่สุขภาพอ่อนแอ เธอเกรงจะมีผลกับอาจื้อ เด็กโบราณอัตราการตายแรกเกิดถึงสามเดือนค่อนข้างสูง การดูแลป้องกันแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าตามรักษาทีหลัง สมดุลอินหยางในร่างกายมีความสำคัญกับสุขภาพ วิธีดูแลตัวเองได้ง่ายที่สุดก็คืออาหารกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวัน
สือจิ่วจึงเกริ่นถามถานเจ๋อเรื่องหากอยากจะพบหมอคนอื่น จะไปพบได้ที่ไหน
“ข้าถามเผื่อไว้ถ้าหมอเวินติดขัดรักษาไม่ได้ เราจะได้มีทางออก ข้าห่วงอาจื้อกับทุกคนน่ะนะ” พรุ่งนี้จะมีตลาดซื้อขายหน้าวัดอิ่นเหมิน เธอภาวนาให้ปิ่นหยกขายได้ราคาดีหน่อยเผื่อจะได้แบ่งเป็นค่าหมอ
“โรงเตี๊ยมเฟิ่งเผยน่าจะมีคำตอบ” แหล่งรวมผู้คนและข่าวสารในโลกโบราณนอกจากหอนางโลมก็มีแค่โรงเตี๊ยม เว้นแต่ตัวเมืองใหญ่ๆ นั่นแหละถึงมีสำนักคุ้มภัยควบกับการขายข้อมูลข่าวสาร
เมื่อแน่ใจว่าตัวเองต้องสวมบทบาทของถานเจ๋ออย่างไม่รู้กำหนดเลิก เขาจึงกล่าวฝากเสี่ยวจิ่วไว้กับท่านปู่ท่านย่า
‘เจ้ายังรักนางอยู่หรือ’
เพราะนางเป็นหญิงหม้าย ชื่อเสียงถูกทำลาย พวกท่านย่อมกังวลอยู่บ้างถ้าความสัมพันธ์จะไปไกลเกินกว่าเพื่อนบ้าน
หากเขายังเป็นถานเจ๋อคนเดิม คำตอบเดียวที่มีก็คือรัก
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่อาเจ๋อและไม่ได้รักหญิงสาว ทว่าหน้าที่ดูแลสองแม่ลูกอย่างไรก็ต้องเป็นเขา การโกหกจะทำให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน
‘รักขอรับท่านย่า ข้าอยากดูแลพี่เสี่ยวจิ่วกับลูกให้ดีที่สุด ตอนนี้นางเกลียดเฉิงหยางปิงเข้าไส้ คิดว่าอีกไม่นานคงจะยอมรับน้ำใจข้า’
‘แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ’
เขาไม่ได้รังเกียจหญิงหม้ายลูกติด ถ้าต้องลงเอยกับสือจิ่วก็ไม่เป็นไร เขารู้จักนิสัยใจคอนางดี อยู่ที่ว่านางจะลืมเฉิงหยางปิงได้หมดใจจริงหรือไม่เท่านั้นเอง
หนุ่มโสดที่แต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจเรื่องรักใคร่ คิดง่ายๆ ถ้าจะต้องแต่งงาน (แม่ที่เกาสงร่ำร่ำอยากจับคู่เขากับลูกสาวคนรู้จักหลายรอบแล้วน่ะนะ) ขอแค่อยู่ด้วยกันไม่มีเรื่องชวนทะเลาะ เป็นคู่คิดทำมาหากินพาชีวิตไม่อดอยากไส้กิ่วก็พอ
มีเงินแล้วชีวิตจะสโลว์ไลฟ์อย่างไรก็ได้ ยังหนุ่มแน่นร่างกายแข็งแรง มุ่งมั่นขยันค้าขายสักหน่อย บั้นปลายชีวิตเรียบง่ายของเขาคงมีความสุขกับการนั่งนับเงินแล้วเก็บใส่ไหฝังดินแน่
ยังดีที่เขาไม่ได้ตั้งระบบสังคมในนิยายให้พ่อค้ามีศักดิ์ศรีในแคว้นน้อยกว่าอาชีพอื่น ไม่อย่างนั้นเส้นทางลืมตาอ้าปากคงได้สั้นกุด
หลายวันต่อมา ถานเจ๋อเริ่มวางแผนจะทำเตียงเตา
“ที่ผ่านมาพวกเราก็ทนหนาวได้นี่” นางกับสามีไม่เคยเห็นเตียงเตา หลานชายเล่าว่าเตียงแบบนี้มักใช้ในบ้านของคนภาคเหนือ
“แล้วทำไมปีนี้เราต้องทนเล่าขอรับท่านย่า มีเตียงเตาเก็บความร้อนของถ่านได้นานกว่ากะละมังไฟวางข้างเตียง แถมยังอุ่นกว่าด้วย อาจเป็นเพราะข้าเคยจมน้ำล่ะมัง ตื่นกลางดึกรู้สึกมือเท้าเย็น เกรงเข้าฤดูหนาวแล้วร่างกายจะทนไม่ไหวต้องเจ็บป่วยเรื้อรังในภายหน้า”
ผู้เฒ่าทั้งสองคนรักหลานชายมาก เขาให้เหตุผลอะไรก็เชื่อตามนั้น แคว้นฉางฝูในฤดูหนาวหิมะตกทั่วถึงทุกเมือง จ้าวต่งหมิงตัวละครหลักของเขาก็เกือบจะหนาวตายกลางหิมะตอนเก้าขวบ รู้อย่างนี้แล้วเขาไม่ขอเสี่ยงอยู่แบบหนาวโดยไม่เตรียมรับมือหรอกนะ
บ้านของเขากับสือจิ่วพื้นเป็นดินเหนียว ผนังก่ออิฐดิน หน้าต่างขึ้นไปถึงเพดานเป็นโครงไม้มุงหลังคาด้วยตับหญ้าแฝก พวกเขามีบ้าน มีที่ดินทำกิน ถือว่ามีความเป็นอยู่ไม่ได้ยากจนถึงขั้นต้องนอนกระท่อมไม้ไผ่ผุๆ
กำลังจะเข้าฤดูร้อน เหมาะกับการทำอิฐดินดิบ บ่อตื้นข้างบ้านเคยให้เป็ดไก่ลงเล่นน้ำจึงถูกใช้แช่ดินที่เขาไปขนมาจากที่นา รอดินอมน้ำกลายเป็นโคลนเหลวก็ผสมแกลบกับฟางสับลงไป สองแรงแข็งขันช่วยกันกับท่านปู่วัยห้าสิบสามปี อีกราวสิบห้าวันต่อมาก็ได้อิฐดินดิบถอดจากพิมพ์ไม้ วางตากเรียงรายอยู่บนลานดินทั้งสองบ้านสำหรับเตรียมพร้อมทำเตียงเตา
สือจิ่วไม่ได้อยู่เฉย นางช่วยพลิกก้อนอิฐตากแดดเท่าที่ท่านย่าเขาจะปล่อยให้ผู้หญิงตั้งท้องอ่อนทำ อายุสิบเจ็ดปีเขายังไม่ร่ำรวยพอจะสร้างบ้านไม้เนื้อแข็งทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา รวมถึงสร้างรั้วรอบขอบชิดกว่านี้ เช่นนั้นมาลองกันสักตั้ง ขอเวลาสักสิบปีไม่เกินสิบห้าปี เขาอาจจะมีบ้านหลังใหญ่เป็นของตัวเองก็ได้

จีนสมัยโบราณ กลุ่มคนที่ถูกนับหน้าถือตามากสุดคือข้าราชการ ปัญญาชน รองลงมาคือชาวนา อันดับสามช่างฝีมือ คนใช้แรงงาน สุดท้ายคือพ่อค้า เพราะถือว่าเป็นกลุ่มคนไม่รักถิ่นฐานบ้านเกิด ใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่งรอนแรมค้าขายไปเรื่อย บ้างก็คิดว่าพ่อค้ามักขูดรีดทำกำไรจากการนำสินค้าจากที่หนึ่งไปขายอีกที่หนึ่ง

Book Comment (6)

  • avatar
    mustafaareef

    good

    31/08

      0
  • avatar
    สุภาพรฯ สิงห์คำ

    ชอบค่ะ

    24/05

      0
  • avatar
    น้อยอิอิหลอด

    DD you

    18/05

      0
  • View All

Related Chapters

Latest Chapters