อากาศต้นเดือนห้านั้นร้อนอบอ้าวยิ่งนัก อวิ๋นซือนั่งมองจดหมายในมือด้วยแววตาราบเรียบไร้ความรู้สึก ตัวอักษรที่บรรยายมาชวนให้ใจหดหู่ คล้ายนางเห็นเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นเบื้องหน้ามือขาวเนียนดุจหยกสั่นวูบหนึ่ง ทว่าเพียงเสี้ยวพริบตาก็เป็นปกติ เมื่อเจ้าของมันกลับมาควบคุมสติตัวเองได้อีกครั้ง ตั้งแต่เติบใหญ่มาหญิงสาวไม่เคยร้องไห้โศกเศร้า นางใช้สติจัดการเรื่องราวทุกอย่าง เติบโตมากับการใช้เหตุผลแทนการใช้ความรู้สึก เพราะอวิ๋นซือรู้ดีว่าคนที่รู้สึกก็คือคนที่พ่ายแพ้แล้วไยมารดาของนางจึงไม่ยอมเข้าใจกันนะ!ร่างบอบบางขยับกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า จดหมายแจ้งเรื่องราวของผู้เป็นมารดาถูกนำไปลงวางในกล่อง บิดาคิดปลดมารดา แล้วยกย่องฮูหยินสามขึ้นเป็นใหญ่ อ้างเหตุว่าเป็นเพราะภรรยาเอกนั้นไร้บุตรชายสืบทอดสกุลอวิ๋นซือแค่นยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาสีนิลทอประกายลึกล้ำ เหตุการณ์ในราชสำนักแปรเปลี่ยน ตระกูลจางที่ขาดท่านตากับท่านยายจะยังเหลืออะไรให้บิดาเกรงใจเล่า ที่ผ่านมาอีกฝ่ายยอมให้มารดานางเป็นฮูหยินใหญ่ก็เพราะสิ้นทั้งสองท่านก็ยังมีน้าชายที่เป็นรองแม่ทัพอนาคตไกลทว่ายามนี้ท่านน้าสิ้นชีพในการปราบปรามโจรป่า อีกทั้งท่านยังไร้ทายาทสืบทอด แค่มองก็รู้ว่าตระกูลจางถึงคราต้องล่มสลายแล้ว ไฉนท่านพ่อยังต้องไว้หน้าผู้ใดอีกเล่า เอาเถอะ แม้นางจะหดหู่ที่มารดายังงมงายไม่ลืมหูลืมตา แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตที่ไร้ความโปรดปรานได้เติบใหญ่ขึ้นมาก็เพราะท่าน จะให้นิ่งดูดายคงไม่ได้อยู่ดีอีกอย่าง... นางเองก็คาดการณ์เรื่องนี้ไว้นานแล้วมิใช่หรือ เช่นนั้นไหนเลยจะยินยอมแต่งเข้าสกุลหลันง่ายดาย เมื่อชายผู้ให้กำเนิดที่มองตนเองเป็นเพียงไม้ประดับจวนออกคำสั่ง คงถึงเวลาต้องใช้สามีที่แสนดีของนางให้เป็นประโยชน์แล้วกระมังเพราะที่นางยอมเหนื่อยยากทั้งหมดก็เพื่อการนี้มิใช่หรือ“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง” เสียงใสเอ่ยราบเรียบ ไม่นานสองสาวใช้คนสนิทก็ก้าวเข้ามา “ฮูหยิน” ดวงตาดำขลับกวาดมองพลางเอ่ยถาม “เสี่ยวเซียงเล่า”เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนพลันนิ่งเงียบ ให้นึกเจ็บแค้นแทนผู้เป็นนายจนขอบตาแดงเรื่อ เสี่ยวเซียงหญิงสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง ขนาดฮูหยินเป็นผู้เมตตาชุบชีวิตนางจากการต้องถูกขายเข้าหอนางโลมแท้ๆ อีกฝ่ายยังกล้าแทงข้างหลังครั้นเห็นท่าทางของสาวใช้คนสนิท อวิ๋นซือก็พอจะเดาได้เลาๆ ว่าเสี่ยวเซียงคงฉวยโอกาสตอนที่ขึ้นเตียงกับเจ้านายสำเร็จ เกาะติดหลันชิงไม่ยอมปล่อย หญิงสาวหลุบตาลงครุ่นคิดด้วยความเงียบขรึม พลางสั่งงานคนของตนให้ไปทำ จากนั้นจึงบอกให้ออกไปได้ เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนเป็นเด็กสาวหัวไว พวกนางรับคำแล้วไปจัดการโดยไม่เอ่ยถาม เพราะสำหรับทั้งสองแล้ว อวิ๋นซือคือเจ้านาย มิใช่สกุลหลันภายในห้องที่เงียบสงบ อวิ๋นซือนั่งรอโชคชะตาอย่างเงียบๆ บอกตนเองในใจว่าช่วงนี้นางหย่อนยานไปมากจริงๆ ทำให้ละเลยนายจ้างไปไม่น้อย เห็นทีคงต้องออกแรงสักหน่อยแล้ว สองสามวันต่อมา ข่าวเรื่องสาวใช้นางหนึ่งปีนขึ้นเตียงนายท่านหลัน อีกทั้งยังยั่วยวนไม่ยอมออกจากเรือนใหญ่ก็รู้ไปถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งคนที่นำเรื่องราวไปบอกก็หาใช่ใครอื่น เป็นฮูหยินห้าหลิงซีนั่นเองฮูหยินผู้เฒ่าในอดีตฟันฝ่ากับเหล่าเมียรองของสามีมาอย่างโชกโชน นางย่อมรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของสตรีเรือนหลังเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีอคติต่อบรรดาเมียรองกับอนุอย่างยิ่ง เมื่อทราบเรื่องนี้ก็ให้นึกไม่ชอบใจ พอฟังที่หลิงซีเล่าจบก็โบกมือไล่อีกฝ่ายทันที“ฮูหยิน แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าคะ”เสี่ยวอิงถามคนเป็นนาย สาวใช้ให้นึกร้อนใจแทน แม้ว่าพวกนางจะลอบปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้ฮูหยินห้าร้อนใจได้ แต่ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เล่นด้วย ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์เสียแล้วคนถูกถามละความสนใจจากอาหารบนโต๊ะ นางเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ “ริจะเป็นนายพราน เจ้าต้องมีความอดทนให้มากกว่าเหยื่อ” เสี่ยวอิงพยักหน้ารับคำ ทว่ายังมีร่องรอยความกังวลให้เห็น อวิ๋นซือส่ายหน้าเบาๆ วางตะเกียบลงบนถ้วยข้าวพลางยื่นมือไปดีดหน้าผากเล็กนั้นอย่างเอ็นดู “ดูพวกเจ้าสิ ให้ความสนใจผู้อื่นจนละเลยหน้าที่” นางเอ่ยเย้าหยอกคนสนิทพลางหลิ่วตาลง “ปรนนิบัติฮูหยินของเจ้ากินข้าวสำคัญกว่าไหม”ท่าทางขี้เล่นอารมณ์ดีที่แสดงออกไม่มีคนนอกได้เห็น ดังนั้นจึงไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่าฮูหยินใหญ่ที่น่าเกรงขามก็มีมุมสาวน้อยร่าเริงเช่นกัน เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนเห็นผู้เป็นนายยังแจ่มใส ก็ละความสนใจจากเรื่องอื่นแล้วหันมาปรนนิบัติอีกฝ่ายให้รับอาหารเพิ่มทันทีวันนี้อวิ๋นซือก็ยังคงเหมือนทุกวัน ชีวิตของนางวนเวียนอยู่กับการดูแลคฤหาสน์จัดการเรื่องราว ผ่านเวลาไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งร้อน เพียงไม่กี่วันข่าวการถูกขายของอดีตสาวใช้ก็เข้าหู เสี่ยวอิงเป็นผู้มารายงานด้วยน้ำเสียงสะใจ พวกนางย่อมไม่เห็นใจให้คนที่ทรยศฮูหยินอยู่แล้ว“ฟังจากป้าผิงแม่ครัว เหมือนเมื่อเช้าจะมีคำสั่งให้ทำความสะอาดเรือนนายท่าน ไม่รู้ว่านางไปทำอีท่าไหนเข้า ถึงทำแจกันพระราชทานที่นายท่านได้มาแตก ฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะจึงสั่งโบยและให้จัดการขายนางเจ้าค่ะ”เมื่อฟังแล้วอวิ๋นซือให้นึกขบขัน จู่ๆ จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คำสั่งทำความสะอาดเรือนที่ไม่มีเหตุผล ประจวบเหมาะกับแจกันพระราชทาน ฮูหยินผู้เฒ่าช่างทุ่มทุนนัก แจกันพระราชทานแลกกับสาวใช้คนหนึ่ง เห็นนางมีโทสะ หลันชิงย่อมไม่กล้าขัดขวางเป็นแน่“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ” เสี่ยวหยวนก้าวเข้ามาเรียกเมื่อเห็นหญิงสาวมองมาก็รีบรายงานต่อ “นางมาคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าเรือนเจ้าค่ะ จะให้บ่าวตามคนมาลากนางกลับไปเลยหรือไม่เจ้าคะ”ใบหน้างดงามแสดงความแปลกใจนิดๆ อดีตสาวใช้ของนางผู้นี้ไม่มีหัวคิดขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่เพิ่งหักหลังเจ้านายไปแท้ๆ แต่พอเกิดเรื่องก็วิ่งแจ้นกลับมาร้องห่มร้องไห้ขอความเห็นใจ เห็นนางเป็นแม่พระหรือว่ามีเหตุผลอื่นแอบแฝงกันนั่นสินะ นางดูแลเรือนหลังมาด้วยความยุติธรรม อีกฝ่ายมาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้น่าสงสารขนาดนี้ หากยังวางตัวนิ่งเฉยคงถูกสตรีเรือนหลังคนอื่นเอามาเสียดสีเป็นแน่ ว่านางเป็นคนจิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัว ขนาดคนเคยปรนนิบัติเดือดร้อนยังไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือฮึ! จนถึงขนาดนี้แล้วยังคิดจะลากกันลงน้ำโคลนไปด้วยอีกหรือเสี่ยวเซียง อือ... ขอถอนคำพูด อีกฝ่ายไม่ใช่ไม่มีหัวคิดอย่างที่นางนึก อีกทั้งยังช่างคิดเสียด้วยทว่า... ลืมไปแล้วหรือว่า ใครเป็นคนสอนเจ้าให้คิดเป็นกัน“เอาเถอะ นางมาร้องไห้หน้าเรือนขนาดนี้ ข้าจะไม่ออกไปดูก็กระไรอยู่”ร่างบางก้าวออกจากเรือนอย่างไม่รีบร้อน สองข้างขนาบด้วยสาวใช้คนสนิท ทั้งคู่เดินประคองเจ้านายของตนด้วยท่าทีระมัดระวัง แววตามองสตรีผู้มีใบหน้างดงามที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าเรือนอย่างไม่เป็นมิตร...ก็ใครจะกล้าไว้ใจสุนัขที่เคยเเว้งกัดเจ้าของ!“ฮูหยินใหญ่ๆ ได้โปรดเมตตาช่วยเสี่ยวเซียงเถิดนะเจ้าคะ ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”พอสายตาเห็นเจ้านายเก่า อดีตสาวใช้ก็รีบถลาเข้ามาคุกเข่า ใบหน้าเล็กงดงามเปียกปอนด้วยน้ำตา ท่าทางร่ำไห้เห็นแล้วชวนให้นึกอยากทะนุถนอม ประดุจดอกสาลี่ต้องลมฝน ทว่าน่าเสียดายที่อวิ๋นซือหาใช่บุรุษ จึงมิได้มีใจรักหยกถนอมบุปฝาสักเท่าใด“ผิดแล้วเสี่ยวเซียง มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเมตตาหรือไม่ แม้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้ของข้าก็ตามเถอะ”คำพูดแบ่งแยก ขีดเส้นสูงต่ำอย่างเห็นได้ชัด ขนาดแค่ไม่กี่วันที่ขึ้นเตียงสามีนางได้ เสี่ยวเซียงกล้าเล่นลิ้นใช้คำว่า ‘ข้า’ แทน ‘บ่าว’ อย่างที่เคย เห็นชัดว่าคิดปีนเกลียว แล้วจะให้นางส่งเสริมงูพิษมาเเว้งกัดตนเองหรือ อวิ๋นซือผู้นี้ยังไม่โง่งมถึงเพียงนั้นเสี่ยวเซียงพลันชะงักในใจ ประโยคเมื่อครู่ฮูหยินใหญ่จงใจกดศีรษะนางแน่นอน อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้มองนางเป็นเมียอีกคนของนายท่านเลยสักนิด อดีตสาวใช้จวนเก่ากัดริมฝีปากจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นโลหิต แม้จะโกรธเกลียดคนตรงหน้ามากเพียงใด ทว่ายามนี้ไม่อาจต้านทานอำนาจของอีกฝ่าย จึงจำต้องก้มหัวให้เพื่อเอาตัวรอดในอดีตเสี่ยวเซียงนับว่าเป็นคนฉลาดเฉลียวที่สุดในบรรดาสาวใช้ของอวิ๋นซือ นางถนัดในการมองสีหน้าและเอาใจผู้คน นับแต่ที่ได้คุณหนูใหญ่ใช้เงินไถ่ตัวมาจากบิดาที่คิดนำนางไปขายหอนางโลม เด็กสาวก็ติดตามอีกฝ่ายเรื่อยมา ในจวนเสนาบดีนั้น จางซื่อไร้อำนาจอีกทั้งความคิดยังตื้นเขิน ที่สามารถนั่งตำแหน่งฮูหยินใหญ่มาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะบุตรสาวที่วางแผนอยู่เบื้องหลังนั่นเองเสี่ยวเซียงติดตามอวิ๋นซือพลางเฝ้าซึมซับและเรียนรู้ อยู่ที่จวนเก่านางไร้ความคิดจะปีนเตียงใต้เท้าเสนาบดี เพราะรูปลักษณ์และอายุของบิดาอีกฝ่ายหาได้น่าพิศมัยอันใด ทว่าหลันชิงนั้นไม่ใช่ เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา อีกทั้งยังอบอุ่นละมุนนุ่มนวล แผ่กลิ่นอายของบัณฑิต นับแต่ได้เห็นแวบแรก เสี่ยวเซียงก็เทใจทั้งดวงให้อีกฝ่ายจนสิ้นนางหลงรักเขาตั้งแต่แวบแรกที่ได้พบ ใจดวงนี้มีนายท่านเข้ามายึดครองหมดทั้งดวง อีกทั้งเห็นสตรีของหลันชิงที่มีมากเสียยิ่งกว่ามาก เสี่ยวเซียงจึงกล้าตัดสินใจกระทำการหักหลังผู้เป็นนายอย่างไรเสียนายท่านก็ไม่ได้มีฮูหยินใหญ่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว เพิ่มนางอีกคนจะเป็นอะไรไป!“หากฮูหยินใหญ่ยอมช่วยเหลือ เสี่ยวเซียงยินดีเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนเจ้าค่ะ หากท่านสนับสนุนข้า ภายหน้าแม้มีบุตร ข้าก็พร้อมยกให้ท่านเป็นผู้ดูแล”
ชอบ
19d
0อ่านสนุกมากๆเลยค่า
19/08
0ดีเวอร์
16/08
0View All