ดวงตาสีนิลเหลือบมองไปทางร่างสูงของผู้เป็นสามีเล็กน้อย นางไม่ได้วาดหวังว่าเขาต้องออกหน้าช่วยเหลือ เพียงแค่เกิดความสงสัยในใจขึ้นมาว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางหรือแสดงออกอย่างไรเพราะถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ต้นเหตุมาจากเขาที่จงใจใช้นางเป็นโล่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาเมียอื่น ไม่ให้มารุมทึ้งเนื้อแม่กวางสาววัยขบเผาะผู้นั้นแท้ๆทว่าสิ่งที่เห็นมีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นที่ฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาเสมอ แม้จะเพียงเสี้ยวเวลา อวิ๋นซือก็มองทันว่าสายตาของเขาอยู่ที่ใด ยิ่งมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของอนุเจียวที่แดงก่ำทั้งยังก้มลงอย่างขวยเขิน ก็พลันแน่ใจว่าอีกฝ่ายหาได้สนใจจะช่วยนางไม่อวิ๋นซือนั้นร่ำเรียนอ่านเขียนมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้จักบทกวีกาพย์กลอนจนทะลุปรุโปร่ง รู้จักคำนิยามของบุรุษที่ดีเป็นอย่างดี ผู้คนมักขนานนามชายหนุ่มผู้กล้าหาญและซื่อตรงด้วยคำว่า ‘วีรบุรุษ’ ทว่านางสามารถนิยามสามีตนเองได้เพียงสองคำเท่านั้น นั่นคือ... ‘สวะ!’ท่ามกลางความกระอักกระอ่วน ชายชราร่างผอมสูงผู้หนึ่งก็ก้าวออกมา ใบหน้าอีกฝ่ายมีแววตื่นเต้นยินดีฉายชัด อวิ๋นซือและทุกคนต่างรู้จักกันดีว่าเขาคือใคร‘ฉิงซื่อผิง’ เถ้าแก่หอฟู่เถิง ร้านเครื่องประดับที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวง สายตาในการคัดเครื่องประดับของเขา แม้แต่ฮองเฮาในวังหลวงยังตรัสยกย่องว่าเป็นที่หนึ่งเถ้าแก่ฉิงไม่สนใจสายตาเลื่อมใสของผู้คน เขาก้าวเข้าไปหาฮูหยินชราอย่างตื่นเต้น ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเห็นของมีค่ากองเท่าภูเขา“อา... ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าว่าตาแก่คนนี้ละลาบละล้วงจนเกินไปเลย แต่ขอข้าดูของขวัญจากสะใภ้ใหญ่ของท่านสักนิดเถิด”เสียงอืออาประหลาดใจดังขึ้นเบาๆ เถ้าแก่ฉิงเป็นใคร มีผู้คนมากมายแค่ไหนอยากให้เขามาประเมินราคาสมบัติของตน มาบัดนี้อีกฝ่ายกลับสนใจอีแค่ไม้จันทน์แกะสลักรูปพระโพธิสัตว์ธรรมดาๆ จะไม่ให้พวกเขาแปลกใจได้อย่างไรเถ้าแก่ฉิงว่าแล้วก็รับรูปสลักมาลูบคลำอย่างตื่นเต้น เจ้าตัวไม่แยแสสายตาผู้อื่นแม้แต่น้อย จนผ่านไปพักใหญ่จึงมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างที่สุด เขาหันมาแสดงความยินดีแก่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดอายุ“ยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย สะใภ้ท่านช่างกตัญญูเหลือเกิน ของล้ำค่าเพียงชิ้นเดียวในโลกก็ยังเสาะหามามอบให้ท่านได้”จบประโยคดังกล่าวฝูงชนก็พลันส่งเสียงอีกรอบ ของล้ำค่าชิ้นเดียวในโลกอย่างนั้นหรือ เถ้าแก่ฉิงชราจนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง ถึงได้กล่าววาจาเลื่อนลอยพรรค์นี้ออกมา“เถ้าแก่ฉิงคงล้อเล่นกระมัง ไม้จันทน์หอมเก่าแก่เช่นนี้ถึงจะหายาก แต่ก็คงไม่ได้มีเพียงหนึ่งในหล้าหรอก จริงหรือไม่”นั่นเป็นเสียงของฮูหยินห้าหลิงซี เดิมทีนางก็ไม่ใคร่ชอบอวิ๋นซืออยู่แล้ว แต่จนใจที่อีกฝ่ายไร้จุดอ่อนให้เล่นงาน มายามนี้เห็นศัตรูกำลังจะถูกผลักลงในน้ำโคลน มีหรือนางจะไม่รีบซ้ำเติมฝ่ายคนที่มาร่วมงานฟังแล้วให้นึกเห็นด้วย พวกเขาพลันเข้าใจว่า ที่แท้แล้วเถ้าแก่ฉิงผู้นี้ก็คิดช่วยรักษาหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่านั่นเอง แต่เถ้าแก่ฉิงคือใคร ทั้งชีวิตของเขาอยู่กับวงการใส่หน้ากากเข้าหากัน ผู้คนแบบไหนบ้างเล่าที่ไม่เคยพบ วิธีการของหลิงซีมีหรือผู้เฒ่าจะดูไม่ออก เจ้าตัวยกของในมือขึ้นสูงพลางอธิบาย“ไม้จันทน์ที่พวกเราเห็นนี่ไม่ใช่ธรรมดา ดูจากลายไม้และวงแก่น คะเนแล้วอายุไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ อีกทั้งลวดลายแกะสลักเป็นหนึ่งไม่มีสอง ด้วยฝีมือปรมาจารย์ช่างไม้โม่เชวียน”ปรมาจารย์ช่างไม้โม่เชวียนเป็นใคร บรรดาชนชั้นสูงต้องรู้เป็นแน่ เพราะอีกฝ่ายเป็นตำนานของงานฝีมือที่ต้องมีไว้สะสมเลยก็ว่าได้ ชั่วชีวิตของช่างไม้บรรดาศักดิ์ผู้นี้ออกผลงานมานับชิ้นได้ และงานแต่ละชิ้นของเขาล้วนไม่มีใครเหมือน นั่นเป็นที่มาของคำว่า ‘หนึ่งเดียวในโลก’ พอรู้แบบนี้สายตาที่มองรูปสลักพระโพธิสัตว์ในมือเถ้าแก่ฉิงก็พลันเปลี่ยนไปล้อเล่นหรือไร ชิ้นเดียวในโลกเชียวนะ ผลงานของปรมาจารย์โม่เชวียน แม้แต่ฮ่องเต้ยังปรารถนาจะเก็บสะสมไว้เลย พอคิดได้ทุกสายตาก็พลันหันไปจับจ้องฮูหยินผู้เฒ่าอย่างริษยาแทน“เถ้าแก่ฉิงทราบได้อย่างไรว่านี่เป็นผลงานของปรมาจารย์ช่างไม้นั่น ขนาดฮูหยินใหญ่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ”หลิงซีกล่าวขัดอย่างไม่ยอมแพ้ นางยังคงเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายออกหน้าพูดให้ก็เพื่อรักษาหน้าตาฮูหยินชรา อวิ๋นซือผู้นี้ก็แค่บุตรสาวไม้ประดับของใต้เท้าเสนาบดีกรมคลัง น้าสาวของนางที่เป็นฮูหยินสามของบิดาอีกฝ่ายยังบอกเลยว่า ฮูหยินใหญ่ผู้นี้ไม่ได้รับการโปรดปรานจากผู้เป็นบิดา แล้วจะไปเอาปัญญาที่ไหนหาของสำคัญมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากันเล่า“หลันฮูหยิน ท่านไม่ทราบจริงๆ น่ะหรือ ว่านี่เป็นผลงานของปรมาจารย์โม่” เถ้าแก่ฉิงหันมาถามอวิ๋นซือแทนการตอบ พลางหรี่ตามองอย่างจับสังเกต บางอย่างเขาดูออก เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะไม่ทราบอวิ๋นซือคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะค้อมศีรษะเป็นเชิงเคารพผู้อาวุโส พลางเอ่ยถ้อยคำอธิบายด้วยน้ำเสียงไพเราะ“เดิมทีของสิ่งนี้เป็นของสืบทอดที่ผู้น้อยรับมาจากผู้อาวุโสอีกที ท่านแม่ปฏิบัติกับข้าอย่างดีเสมอมา เพียงเท่านี้ยังไม่อาจเรียกว่าเป็นความกตัญญูได้หรอกเจ้าค่ะ”นางไม่จำเป็นต้องตอบ ของของตนเองมีหรืออวิ๋นซือจะไม่รู้ ที่ไม่เอ่ยปากบอกใครก็แค่เพราะอยากชมการแสดงตลกสักฉากสองฉาก ถือเป็นราคาของที่นางต้องเสียไปก็แล้วกัน เถ้าแก่ฉิงฟังแล้วยิ่งรู้สึกดีกับหญิงสาวตรงหน้าขึ้นอีกโข เขาพลันนึกถึงท่าทีของคนสกุลหลันที่มีต่อนางเมื่อครู่ ชายชราบังเกิดความเสียดายขึ้นมาทันทีน่าเสียดายนัก หญิงสาวที่ดีกลับต้องมาอยู่กับคนพวกนี้ เสียของ...เสียของจริงๆ“ตัวข้าอยู่ในวงการนี้มาค่อนชีวิต ศึกษาผลงานของปรมาจารย์โม่มายาวนาน” มือเหี่ยวย่นตามวัยชี้ไปที่ด้านในข้อเท้าเทวรูปไม้สลักก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ปรมาจารย์โม่ยึดติดกับผลงานทุกชิ้นของเขา ทุกครั้งที่สร้างผลงานสำเร็จ เขาจะต้องสลักอักษรคำว่า ‘เชวียน’ ไว้เสมอ หรือถ้าใครคิดว่าข้า... ฉิงซื่อผิงผิดพลาด ก็มาตรวจสอบด้วยตนเองได้เลย”แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าออกมาให้ตัวเองหน้าแตกเล่น แม้แต่หลิงซีก็ยังต้องกัดปากอย่างไม่ยินยอม ฮูหยินผู้เฒ่ามองผู้คนในงานแล้วรู้สึกพอใจกับผลนี้อย่างยิ่ง นางวางมือลงบนมือของอวิ๋นซือพลางเอ่ยเสียงอ่อน“เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว”อวิ๋นซีไม่เก็บเอาท่าทีสามีและมารดาอีกฝ่ายมาใส่ใจ นางทำเพียงยิ้มบางๆ เช่นเคย ไม่มีสิ่งใดแสดงออกถึงความคับข้องใจ เพราะนางหาได้ให้ความสำคัญแก่พวกเขา แล้วจะต้องเสียใจอันใด ที่ทำลงไปก็เป็นเพียงหน้าที่ เจ้าเสแสร้งมา ข้าก็เล่นไปตามน้ำเท่านั้นเอง จบงานเลี้ยง ยามค่ำคืนของเดือนสี่ท้องฟ้าสดใส มองเห็นพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่น อวิ๋นซือซึ่งอาบน้ำชำระกายเรียบร้อยแล้วนั่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่บนเตียง พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อหูได้ยินเสียงเคาะประตูของสาวใช้ หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เข้ามาได้”“ฮูหยิน...” เสี่ยวอิงกัดริมฝีปากแน่น แสดงอาการลังเลอย่างที่น้อยครั้งจะมี“เจ้าไม่ได้ไปเรียนนายท่านให้ข้าหรอกหรือ” ผู้เป็นนายถามขึ้น เพราะให้อีกฝ่ายไปบอกสามีที่เอ่ยว่าจะมานอนค้างด้วยว่าไม่สบายนี่นาเนื่องจากงานเลี้ยงวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี และมีหน้ามีตาจนฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มไม่หยุด หลันชิงจึงคิดให้รางวัลนางด้วยการมาค้างคืนที่เรือน ทว่าอวิ๋นซือสั่งคนไปสกัดอีกฝ่ายเสียก่อน โดยให้เหตุผลว่าไม่สบายเพราะเหน็ดเหนื่อยล้อเล่นอย่างนั้นหรือ นางในเวลานี้ทั้งอ่อนเพลียและเมื่อยล้า อีกฝ่ายมาปรนนิบัติก็คงมีเพียงเขาที่สุขอยู่ผู้เดียว แล้วไยนางต้องเปลืองตัวเหน็ดเหนื่อยด้วยเล่า“คือบ่าวกำลังจะออกไป แต่พี่เซียง นาง...”เสี่ยวเซียงคือสาวใช้อีกนางที่ติดตามอวิ๋นซือมาจากบ้านเดิม ระยะนี้อีกฝ่ายมักแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม ทำท่าทางแปลกๆ คล้ายคนมีความลับ เสี่ยวอิงนั้นเฉลียวฉลาดหัวไวอยู่แล้ว พอเห็นอีกฝ่ายไล่ตนแล้วอาสาไปรายงานเอง ก็พอเดาได้ถึงจุดประสงค์ของสาวใช้รุ่นพี่เสี่ยวอิงว่าหัวไว อวิ๋นซื่อยิ่งไวกว่า นางเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร มือบางยกขึ้นโบกให้สาวใช้คนสนิทอย่างไม่ใส่ใจ“ช่างเถิด ใครไปก็เหมือนกัน” แค่นางไม่ต้องเหนื่อยก็พอแล้วนี่ “เจ้ากับเสี่ยวหยวนก็ไปพักผ่อนกันเถอะ เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”เสี่ยวอิงรับคำก่อนจะล่าถอยออกไป เมื่อประตูปิดลง ร่างบางก็ขยับลุกขึ้นมายืนชิดหน้าต่าง แสงจากคบไฟในสวนสลัวพอให้มองเห็น นางมองเงาร่างคนคุ้นเคยที่โอบประคองกันจนแนบชิดไปจนลับตาเป็นเสี่ยวเซียง สาวใช้ที่หอบหิ้วกันมาจากจวนเก่ากับหลันชิง สามีของนางนั่นเองดวงตาสีนิลมองจันทราบนแผ่นฟ้าอีกครา ริมฝีปากแดงระเรื่อคลี่ยิ้มหวานแฝงแววขบขัน‘วอนขอรักแท้ที่มั่นคง เพียงหนึ่งยวนยางยืนยงจนแก่เฒ่า’ไม่รู้ว่าเจ้าของบทกลอนบนถุงหอมใบนั้น ราตรีนี้ยังจะสามารถข่มตาหลับลงได้หรือไม่ เมื่อคู่ยวนยางของนางไม่ได้กลับรังไปหาค่ำคืนแห่งวสันต์พราวพร่าง ขอนวลนางจงหลับฝันดี...
ชอบ
19d
0อ่านสนุกมากๆเลยค่า
19/08
0ดีเวอร์
16/08
0View All