logo text
Adicionar à Biblioteca
logo
logo-text

Baixe este livro dentro do aplicativo

03 เวลาไม่หวนกลับ

วันปัจฉิมนิเทศ
ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนเพื่อรื้อของที่ระลึกซึ่งติดไว้ตามเสื้อนักเรียนโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นคนมาติดไว้ให้เพื่อขอบคุณและกล่าวอำลากัน เนื่องจากมันเยอะเกินไปจึงต้องเอามันออกเสียบ้าง ขืนผมออกไปจากโรงเรียนสภาพนี้คงจะสร้างความลำบากในการเดินทางไม่ใช่น้อยแถมยังจะเป็นเป้าสายตาอีกต่างหาก
ไม่นานชุดนักเรียนที่เคยเต็มไปด้วยของฝากจากเพื่อน ๆ ก็หายไปจนหมด เหลือไว้เพียงรอยปากกาที่เขียนข้อความจารึกไว้บนเสื้อเท่านั้น ถือเป็นความทรงจำที่จะทำให้เราได้นึกถึงช่วงเวลานี้
“นิกม์” ไมล์เรียกชื่อของผมจากหน้าห้องเรียนขณะที่ผมกำลังเก็บของบนโต๊ะที่ได้รับจากรุ่นน้องหลังเสร็จพิธีจบการศึกษา ผมหันไปมองเธอพร้อมกับทำหน้าสงสัย เอียงคอเล็กน้อยให้ผู้หญิงซึ่งอยู่หน้าประตู “กลับบ้านด้วยกันไหม” เธอถามขึ้น ผมจึงพยักหน้าแทนคำตอบ รีบยัดของบนโต๊ะใส่ถุงกระดาษและเดินไปหาไมล์ดูเธอเองก็มีของเยอะพอสมควร เธอวางถุงกระดาษลงและรื้อหาของในกระเป๋าเป้นักเรียน
“เราให้” เธอยื่นดอกเดซี่ให้ผมพร้อมกับการ์ดใบเล็ก ผมรับมาพร้อมยิ้มขอบคุณและให้ของที่ระลึกจากผมตอบแทนเธอ
“ขอบคุณนะไมล์”
“เอาปากกามานี่ เดี๋ยวเราเขียนเสื้อให้” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเธอก็หยิบปากกาที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของผมไป แล้วดันตัวผมให้หันไปข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มละเลงปากกาสีลงตรงปกเสื้อ เธอเขียนหยุกหยิกอยู่นานจนผมชักจะอยากรู้แล้วว่าเธอเขียนอะไรไปบ้าง แน่นอนว่าทันทีที่ไมล์เขียนเสร็จผมก็ต้องเขียนอะไรไว้บนเสื้อนักเรียนเธอบ้าง เผื่อวันไหนเราเกิดคิดถึงช่วงเวลานี้ขึ้นมาจะได้มีอะไรไว้ดูต่างหน้าบ้าง
ระหว่างเดินไปยังรถที่ลานจอดของโรงเรียน โดยปกติแล้วไมล์จะพูดคุยกับผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบ่นถึงเรื่องเล็กน้อยที่เกิดในวันนี้ หรือเรื่องหนังสือเล่มใหม่มาแนะนำให้ผมลองอ่าน แต่หลังจากออกจากห้องเรียนวันนี้เรากลับไม่มีบทสนทนาอะไรแม้แต่น้อยซึ่งผิดนิสัยคนพูดเก่งแบบเธอไปสักหน่อย ผมจึงเดินตามไมล์ไปอย่างเงียบเชียบ มองการแกว่งไปมาของผมหางม้าสีดำเงาตามจังหวะการเดินของเจ้าตัว
“ไมล์” ผมส่งเสียงเรียกคนข้างหน้าให้หันกลับมา
“อะไรเเหรอ?” เจ้าตัวหันกลับมาถาม ทำหน้างงเล็กน้อย ผมจึงรีบก้าวเข้าไปใกล้เธอ ทำให้ระยะห่างของเราเหลือเพียงนิดเดียว ผมก้มลงมองใบหน้าเรียวยาว แก้มเนียนอมชมพู ริมฝีปากบางเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนผมโดนสะกดเมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปประสานกับดวงตากลมโต นัยน์ตาสีนิลแม้จะดูแข็งกร้าว แต่ก็มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูด
ผมเอื้อมมือขึ้นไปผูกริบบิ้นสีขาวซึ่งทำท่าจะหลุดออกจากผมหางม้าของไมล์ ผมใช้เวลาตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เธอเหลือบมองผมอย่างเขินอาย ก่อนจะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างให้พอดี
“ขอบคุณนะตัวเอง ดูแลขนาดนี้มาเป็นที่รักเค้าเถอะ” ไมล์เงยหน้ายิ้มทะเล้นใส่ผม พร้อมกับพูดจาหยอกล้อเช่นเคย เธอเข้ามาควงแขนของผมแล้วลากผมเดินไปพร้อมกับเธอ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนผมลืมท่าทางเขินอายเมื่อกี้ไปเสียสนิท สรุปยัยนี่คงแกล้งเขินอีกตามเคย
บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจเธอนะ เธอมักทำตัวเป็นแฟนของผมตลอด การแสดงออกต่างๆ ไม่ว่าจะคำพูดคำจา พวกสรรพนามแบบคู่รัก ทว่าบ่อยครั้งก็มักแสดงออกอย่างจริงจัง จนผมแอบเก็บไปคิดอยู่บ่อยๆว่าที่เธอแสดงออกทั้งหมด เธอกำลังคิดอะไรกันแน่นะ
รถจักรยานยนต์สีแดงแสบจี๊ดมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ผมจึงรีบลงจากรถพร้อมขอบคุณไมล์ที่มักให้ผมติดรถมาด้วยเป็นประจำ จากนั้นก็โบกมือลาไมล์และก้าวเดินจะเข้าไปในบ้าน แต่จู่ๆ ไมล์ก็ดับเครื่อง ตั้งขาตั้งรถลง เธอหันตัวมาทางผมแม้เจ้าตัวจะยังคงนั่งอยู่บนเบาะตามเดิม
“อ้าว จะอยู่เล่นก่อนเเหรอ” ผมฉงนใจจึงถามขึ้น
เธอกระโดดออกจากรถ สาวเท้าตรงมาทางผม อีกทั้งคว้ามือขวาไปจับและบีบมันเบาเบาราวกับต้องการจะสื่อบางอย่าง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและปล่อยมันออกอย่างแรง พร้อมกับค่อยๆ เผยอปากตั้งท่าจะพูดเรื่องราวที่ติดค้างในใจ
“เราชอบแกวะ” เหมือนกับทุกอย่างดับวูบไป ผมจ้องดวงตากลมโตอันแข็งกร้าวนั่น ทว่านัยน์ตาสีนิลสั่นระริกราวกับตื่นกลัวสิ่งที่ตนได้เปล่งออกไป เราสบสายตากันนิ่ง ในหัวของผมขาวโพลน จนกระทั่งไมล์บีบมือผมเพื่อเรียกสติกลับมา
“เราขอโทษนะไมล์ คือว่า...” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง
“...”
“เรื่องนี้… ค่อยคุยกันอีกทีได้ไหม หลังได้เข้ามหา’ลัยแล้ว”
“แสดงว่าเรารอแกได้ใช่รึเปล่า” ผมลังเลที่จะให้คำตอบใดใดแก่เธอ ในหัวผมมันมีความคิดหลากหลายวิ่งวนชนกันไปมามากมาย จนตัดสินใจอะไรไม่ได้ สิ่งที่ผมแน่ใจคือ ตัวผมน่ะเเหรอที่ไมล์ชอบ ผมมีอะไรน่าสนใจงั้นเเหรอ? หรือเธอแค่แกล้งผมเล่นอีก ความสับสนกับท่าทางทีเล่นทีจริงเหล่านี้ อันไหนจริงอันไหนหลอกกันนะ...
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกดีกับเธอนะ ผมรู้ตัวดีว่าค่อนข้างรู้สึกพิเศษกับเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผมรู้จัก แต่ผมก็ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะรับรักใครในตอนนี้ คิดเพียงว่าคนอย่างผมจะรักษาความรักไว้ได้ไหมก็แค่นั้น
ผมปล่อยมือของไมล์ลงอย่างเชื่องช้า ก้าวถอยหลังออกห่างจากเธอ ผมดูเธอไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไรกับการที่โดนผมปฏิเสธอ้อม ๆ เช่นนี้ แต่ที่แน่ใจคือแววตาแข็งกร้าวก่อนหน้านี้กำลังมีน้ำใส ๆ รื้อขึ้นมา ไมล์หันหลังกลับไปที่รถ ขับมันออกไปโดยไม่มีคำบอกลาใดใด
ทันทีที่ไมล์จากไป ผมทำได้เพียงมองตามรถที่วิ่งออกห่างจนลับสายตา อยู่ ๆ ร่างกายก็หนักอึ้งราวกับแบกโลกทั้งใบ ความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าอก ผมไม่สามารถอธิบายมันออกไปเป็นคำพูดได้ รู้แต่เพียงว่าผมต้องขอโทษกับกระทำอันโง่เขลานี้กับเธอ ผมเป็นต้นเหตุทำให้ดวงตาอันสดใสนั้นต้องเศร้าหมอง
เราขาดการติดต่อกันไปนับจากวันนั้นซึ่งตัวผมเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับไมล์
ภาพทรงจำระหว่างผมกับไมล์ในอดีตถูกตัดไปด้วยเสียงชัตเตอร์ของกล้อง ผมเงยหน้ามองคนหลังกล้องซึ่งเป็นคนลั่นชัตเตอร์ช่วงขณะที่จิตใจล่องลอยโหยหาสิ่งที่ได้ผ่านไปแล้ว สายตาของผมเผลอมองไปหาไมล์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในหัวของผมยังคงมีคำถามว่าเธอรู้สึกเช่นไรกันแน่จนกระทั่งตอนนี้
“นิกม์ แกเป็นไรรึเปล่า ทำไมเหม่อจัง” ไมล์เอยถาม
“ไม่มีอะไร คิดเรื่อยเปื่อย”
“โอยที่รักไม่ต้องเขินเราก็ได้ อยู่ใกล้แค่นี้เองไม่ต้องใจลอยคิดถึงเราขนาดนั้นเหรอกจ้า”
“นี่แน่ะ พูดหยอดแล้วจีบเล่น ๆ ห้ามจีบนะครับ ผมหวงตัว” ผมดีดหน้าผากไมล์อย่างเอ็นดูหลังจากที่เธอพูดติดตลกให้ผมขวยเขิน
“โอย เจ็บนะเว้ย” เธอโวยวายไปพลางลูบหน้าผากไปพลาง สักพักก็เหมือนปิ๊งไอเดียขึ้นมา ไมล์ยกกล้อง DSLR ในมือให้ผมดูพร้อมกับยักคิ้วใส่ ผมไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าไอ้ท่าทางแบบนั้นมันคืออะไร
“อะไร แกมองหน้าทำไม”
“มาถ่ายรูปคู่กัน”
“ห้ะ ใช้กล้องโปรมาเชลล์ฟี่เนี่ยนะ” ผมจึงเขกหัวยัยไมล์อีกหนึ่งโบก
“เออน่า เก็บไว้เป็นที่ระลึกไง” เธอว่าพร้อมกับยื่นกล้องตัวใหญ่ไปข้างหน้า หันเลนส์มาทางพวกเรา ด้วยระยะที่มันค่อนข้างใกล้ทำให้เราต้องขยับร่างกายเข้ามาแนบชิดกัน ตัวของเธอช้อนอยู่ข้างหน้าผม เธอตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อย ผมจึงโน้มตัวลงไปให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ผมใจเต้นตึกตักยากที่จะควบคุมให้สงบลง แก้มของเราทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนแทบจะติดกัน
ความใกล้ชิดของผมกับไมล์ขยับกลับมาเป็นเช่นเดิมราวกับว่าช่วงมัธยมปลายเธอไม่เคยสารภาพรักกับผม พวกเราไม่เคยห่างหายไปไหน ซึ่งมันทำให้ผมรู้ว่าไมล์ก็ยังเป็นไมล์ไม่เคยเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้นเช่นผมเองที่ต้องปฏิบัติตัวกับเธอราวกับการปฏิเสธคำสารภาพรักนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
แม้สุดท้ายก็มีแต่ผมเองที่นั่งเจ็บปวดกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ในที่สุดผมก็ได้เข้าใจว่านี่ต่างหากล่ะ คือการรักษาคนที่รักจนหมดหัวใจไว้ไม่ได้ โง่ที่ปล่อยคนสำคัญหลุดมือไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย
มันคงหยุดยั้งอะไรไม่ได้แล้ว เพราะความจริงก็ยังเป็นคงความจริง ไม่อาจหลีกหนี

Comentário do Livro (106)

  • avatar
    สจ. เบิร์ด

    ดีวดวมด

    8h

      0
  • avatar
    ลัลน์ญดา ฯ.

    ❤️‍🔥💞

    15h

      0
  • avatar
    RungsriKamonchanok

    ชอบมากๆ

    2d

      0
  • Ver Todos

Capítulos Relacionados

Capítulos Mais Recentes