“นี่คืองานของผม” นายคีตาเปิดคอมพิวเตอร์และดึงข้อมูลที่เขาทำอยู่มาให้ฉันดู เขาบอกว่ามันเป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อประมวลผลอะไรบางอย่าง จอสีเทา ๆ เต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษรวมกับสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่ให้ฉันอ่านอีกสามวันก็คงอ่านไม่รู้เรื่อง“ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลย มีแต่ตัวหนังสืออะไรไม่รู้ อ่านไม่รู้เรื่อง”“นี่เขาเรียกว่าชุดคำสั่ง มีไว้สำหรับให้เครื่องคอมฯ มันประมวลผลหรือคิดตามกระบวนการอย่างที่เราต้องการ เราสามารถให้มันบวกเลข ลบเลข หรือคำนวณผลบางอย่างได้โดยที่เราไม่ต้องทำเอง ทำเป็นระบบบัญชี ระบบรักษาความปลอดภัย หรือว่าการประมวลผลเพื่อพยากรณ์ภูมิอากาศของประเทศก็ได้”“เป็นง่อยกันพอดี อะไร ๆ ก็ให้คอมฯ ทำให้ต่อไปก็ไม่ต้องคิดอะไรกันละ” ฉันบ่นอุบอิบคนที่ทำท่าทางภูมิใจกับเครื่องมือหากินของตนเองถอนหายใจ ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที“แล้วรูปของคุณล่ะ ให้อะไรบ้างนอกจากเอาไว้ดูเล่น ดูนาน ๆ ก็เบื่อ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสักอย่าง”“คนไม่มีศิลปะในหัวใจ รูปของฉันเอาไว้ดูเพื่อให้เกิดความรู้สึกทางใจย่ะ”“แบบดูได้ แต่กินไม่ได้ ใช่ไหม”ฉันสะบัดหน้ากลับ เดินออกจากห้องพักของเขาทันที “พูดอย่างนี้อย่าพูดกันดีกว่า พูดกันคนละภาษา”“ขี้งอนเป็นบ้า แน่ละซี้ ผมมันพูดภาษาสคริปต์ คุณมันพูดภาษาแอบสแตร็กต์” ฉันได้ยินเสียงเขาบ่นเบา ๆ ก่อนออกจากห้อง เห็นทีเราจะสงบศึกกันได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นตอนเย็นออกจะน่าเบื่อและเงียบเหงา หลังจากอ่านหนังสือจบไปหลายหน้า ฉันก็ปิดมันวางไว้ตรงหัวเตียงอย่างเบื่อ ๆ นายคีตาหายเงียบเข้าไปทำงานในห้องอีกแล้ว ไม่รู้จะขยันไปถึงไหน อย่างนี้น่าจะได้รางวัลพนักงานดีเด่นจากพี่นุฉันตัดสินใจโทร. ไปหาเจ้านัท เพื่อนร่วมคณะที่มาเปิดร้านอาหารกึ่งผับและทำทัวร์เล็ก ๆ อยู่ที่ชะอำ ให้มันมารับไปนั่งฟังเพลงและรำลึกความหลังกันจนเกือบตีสองจึงได้พามาส่งที่บ้านพัก“ไปไหนมา” เสียงเครียด ๆ ของผู้ชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก เขามีคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วอยู่ตรงหน้า หนังสือที่ฉันเคยเห็นระเกะระกะอยู่ในห้องของเขาออกมากองอยู่ด้านนอกหมดแล้วทำเสียงยังกับพ่อ พี่นุเองยังไม่เคยถามฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ฉันบ่นในใจ“ไปเที่ยว” ฉันตอบ ทำท่าไม่สนใจเขา ตั้งใจจะเดินขึ้นชั้นบน“ไปไหนมาไหนบอกกันบ้างก็ดีนะ เกิดเป็นอะไรเจ้านุมันจะมาแหกอกผมเอา”“ฉันอายุเกินยี่สิบแล้วนะไม่ใช่ห้าขวบ อยู่กรุงเทพฯ ฉันกลับบ้านตอนเช้าออกบ่อยไป” ฉันหันไปตอบเขาด้วยเสียงห้วนขึ้นมาทันที เขาเป็นใคร กล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้“เกินยี่สิบแต่ยังคิดไม่เป็นนี่นา” เขาเองก็ตอบเสียงดังไม่แพ้กัน “ที่นี่มันต่างจังหวัดนะคุณ ไม่ใช่กรุงเทพฯ ผมจะไปรู้ได้ไงว่าคุณซ่าก๋ากั่นมากแค่ไหน คุณเป็นน้องสาวของเพื่อน อย่างน้อยผมควรจะดูแลเท่าที่ทำได้”เขาเป็นห่วงฉัน ประโยคร้าย ๆ ที่เขาตะโกนใส่หน้ามันสรุปได้แบบนั้น แต่ฉันทิฐิเกินกว่าที่จะรับผิดพี่นุรักและตามใจฉันมากด้วยความที่เป็นน้องสาวคนเดียว และเขาไม่กล้าที่จะใช้คำแบบนี้กับฉัน ไม่เคยดุ ไม่เคยห้ามในสิ่งที่ฉันทำบางครั้งการตามใจของพี่นุก็ทำให้ฉันคิดว่าพี่ชายไม่สนใจไยดีฉันเลย“คงไม่มีคราวหลังให้คุณว่าฉันหรอก” ฉันยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ เดินตึง ๆ ขึ้นบันไดเข้าห้องพักมันจะอะไรกันนักกันหนาเชียวกับแค่ไปเที่ยวกับเพื่อนกลับตีสอง อยู่กรุงเทพฯ ตระเวนเที่ยวจนเช้ายังไม่มีใครว่าสักคำทำไมก็ไม่รู้ หลังจากอาบน้ำแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ฉันกลับนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหรือคำพูดร้าย ๆ ของนายคีตาตามมาหลอกหลอน ในที่สุดก็ต้องลุกมาหาหนังสืออ่านจนหลับไปเองตอนเช้า ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความปวดหัว คิดจะลงไปหาอะไรเย็น ๆ ดื่มในครัว ปรากฏว่าคนที่มีปากเสียงด้วยเมื่อวานยืนอยู่ในนั้นอยู่ก่อนแล้ว“ทำอะไรกินน่ะ หอมจัง” ฉันเปิดตู้เย็น หยิบนมมารินใส่แก้ว ถามเขาราวกับว่าเมื่อคืนเราไม่ได้ทะเลาะกันสักนิดคนที่กำลังต้มอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาไม่ได้หันมา ทำหน้าตาเรียบเฉย“ทำเผื่อฉันหรือเปล่า…หิว”หน้าตาของคนที่ทำกับข้าวอยู่ยังบึ้งเหมือนเมื่อคืน “ไปหยิบชามมาใบหนึ่ง ตักข้าวใส่จานด้วย”ฉันอมยิ้ม ลุกขึ้นไปหยิบของตามคำสั่งโดยดี“ตื่นสายนะ เป็นผู้หญิงยังไงนอนตื่นเก้าโมง”ขี้บ่นชะมัด ฉันคิดในใจ หน้าตาดีแต่ขี้บ่นเป็นบ้า อย่างนี้ใครเอาไปเป็น “สามี” คงซวยตาย“เมื่อคืนนอนดึก กินเหล้ามาด้วยเลยปวดหัว” ฉันตอบ ชะโงกหน้าไปมองแกงจืดวุ้นเส้นที่หน้าตาดูน่ากินแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย นายคีตานี่ถ้าตกงาน (เพราะปากร้ายทำลายจิตใจฉัน พี่นุเลยไล่ออก) แล้วไปเปิดร้านอาหารคงจะรุ่ง“เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีเสียให้เข็ด” เขาบ่นผู้ชายคนนี้...มีดีอยู่อย่างเดียวจริง ๆ ฉันย้ำกับตัวเอง“เมื่อคืนพี่คุณอีเมล[1]มาถามว่าจะกลับเมื่อไหร่”“อีเมล?”“เคยใช้หรือเปล่า โปรแกรมคุยกันผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์น่ะ” เขาอธิบาย“ฉันไม่รู้จักอะไรที่มันใช้เทคโนโลยีอะไรแบบนั้นหรอก”เขาทำหน้าตาราวกับเห็นตัวประหลาด “ไม่รู้จัก! สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็รู้จักกันทั้งนั้น”“เคยได้ยินนะ แต่ฉันมันเป็นพวกปฏิเสธเทคโนโลยี”คนที่กินข้าวอยู่ส่ายหัวก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย“รู้สึกว่านายนุจะห่วงคุณมากนะ เขาสั่งผมว่าให้พาคุณกลับด้วยพรุ่งนี้”“งานของคุณเสร็จแล้วหรือไง”“เสร็จแล้วประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ผมต้องกลับไปทดสอบให้ลูกค้าดูขั้นต้นก่อนจะทำโปรแกรมสำเร็จรูปส่งให้เป็นขั้นสุดท้าย”แสดงว่าที่เขาแสดงความห่วงใยฉันเมื่อวานก็เพราะพี่นุ เจ้านายสั่งนี่ ลูกน้องจะไม่ทำตามได้ยังไง“ฉันไม่กลับ คุณกลับไปก่อนเถอะ”“คุณจะอยู่ยังไงคนเดียว แถวนี้ออกจะเปลี่ยว ไม่มีรถไปไหนมาไหนก็ลำบากฉันรวบช้อน อิ่มขึ้นมาเสียเฉย ๆ ฉันมันพวกโรคจิตไม่ชอบให้ใครสั่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว“วันนี้ฉันไปวาดรูปทั้งวันนะ กลางวันจะหาข้าวกินเอง เย็นก็นัดกับเพื่อนไว้ จะกลับดึกนะไม่ต้องรอ อ้อ... แล้วช่วยบอกพี่นุด้วยนะว่า ฉันอยู่ของฉันได้มาตั้งหลายปี ไม่ต้องคิดมาเป็นห่วงอะไรกันตอนนี้หรอก”...ฉันพิจารณาภาพร่างคร่าว ๆ ของห้องนอนแบบ ‘เรียบแต่เก๋’ ที่ลูกค้าคนใหม่ตั้งโจทย์ไว้ให้อย่างพอใจ งานชิ้นนี้เป็นงานที่เข้ามาหลังจากงานตกแต่งคอนโดฯ ของคุณกฤษณ์เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นงานที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่นาน ๆ ทำงานแบบนี้สักครั้ง เปลี่ยนบรรยากาศจากการออกแบบตกแต่งโรงแรมหรือสำนักงานหรู ๆ มันช่วยทำให้ความเบื่อลดลงได้เหมือนกันฉันทำงานชิ้นนี้อย่างตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะออกจะชอบใจลักษณะโครงสร้างเดิมของบ้านที่ค่อนข้างลงตัว และเจ้าของบ้านที่ไม่จู้จี้จุกจิกอะไรเลย เขาติดต่อให้บริษัทของฉันตกแต่งบ้านให้โดยไม่มีคำสั่งอะไรเป็นพิเศษ นอกจากจะแต่งบ้านเป็นเรือนหอ เอาแบบง่าย ๆ และสบาย ๆ มากที่สุด โดยเน้นโทนสีฟ้าเท่านั้นลูกค้าแบบนี้สามปีจะมีมาสักรายลักษณะของงานตกแต่งภายในจะมีความยุ่งยากตรงที่คนออกแบบต้องเล่นกับความพอใจของลูกค้า ถ้าเจอลูกค้าที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ (แต่ไม่มีหัวทางศิลปะ) งานตกแต่งบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งอาจกลายเป็นศาลเจ้าจีนได้ในที่สุด มีลูกค้าน้อยรายนักที่แจ้งรายละเอียดในการออกแบบมาไม่มากนักแบบนี้งานออกแบบชิ้นนี้ฉันไม่ได้ไปดูสถานที่ตั้งของบ้านด้วยตัวเอง แต่ผู้ช่วยของฉันไปถ่ายรูปและเอาแผนผังของบ้านมาให้แล้ว มันจึงทำให้ทำงานได้ง่ายมากขึ้น“เจ้าของบ้านเขาไม่ระบุอะไรเลยเหรอคะหัวหน้า” ฉันหอบภาพสเกตช์ไปให้หัวหน้าดูเพื่อขอความเห็นก่อนที่จะลงสีและใส่รายละเอียดเพิ่มเติม อดจะถามถึงเจ้าของบ้านไม่ได้ “แล้วอย่างนี้นรีจะรู้ได้ยังไงว่าเขาพอใจหรือเปล่า”“ท่าทางลูกค้าคนนี้เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก เห็นบอกว่ายังไงก็ได้แล้วแต่ดิไซเนอร์” คุณเดชาตอบ“นรีว่าจะนัดคุยกับเขา เอาภาพร่างคร่าว ๆ ให้เขาดูก่อนดีไหมคะ”“เอาสิ ผมจะนัดให้ ให้เขามาที่บริษัทไหม”“อะไรนะคะ!” ฉันร้องอย่างตกใจ โดยปกติเราจะต้องเอาแบบไปเสนอลูกค้า ไม่ใช่นัดให้ลูกค้ามาดูแบบที่บริษัทรายนี้อาจจะเป็นลูกค้ารายเล็ก คุณเดชาเลยดูจะไม่เอาใจใส่สักเท่าไหร่ ปล่อยให้ฉันรับหน้าที่ติดต่อทุกอย่างเองหมด“อะ เอาเบอร์ของเขาไป แล้วโทร. ไปถามว่าจะเอาไง”ฉันรับเบอร์โทรศัพท์มาและโทร. ไปทันที[1] ในช่วงที่เขียนนิยายเรื่องนี้ การใช้อีเมลยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนทั่วไปอยู่มาก
ดีมาก รู้สึกดี
1h
0ได้ความรู้ต่างๆ
1d
0อ่านฟินสุดๆ
2d
0Ver Todos