logo
logo-text

Unduh buku ini di dalam aplikasi

9

ฟังเยว่ฉิวเดินทางมาถึงถูหยางในช่วงฤดูเสียวหม่าน แต่เพราะเป็นคนบ้านนอก มีใจซื่อ มองโลกภายนอกแง่ดีเกินไป หลังจากเข้าประตูเมืองได้ยังไม่ทันครึ่งชั่วยาม ก็ถูกหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาตีสนิทจนนางยอมเปิดเผยเรื่องมาตามหาคน จึงสบโอกาสให้คนชั่วใช้อุบายหลอกลวงว่าจะพาไปจวนแม่ทัพเผิง
ทว่าที่นางพบกลับเป็นทางเข้าประตูหลังของบ้านหลังหนึ่ง แต่เป็นโชคดีก็ว่าได้ ที่นางรอดพ้นถูกจับไปขายเป็นทาสอย่างฉิวเฉียด เพราะมีผู้หญิงสองคนวิ่งผ่านหน้าออกมา ตามติดด้วยชายวัยฉกรรจ์ท่าทางกักขฬะ ในมือถือท่อนไม้ใหญ่ เห็นท่าไม่ดี หญิงสาวจึงออกตัววิ่งเช่นกัน ทว่าก็ยังถูกหญิงใจชั่วที่นางเรียกว่า ‘ป้าลู่’ ดึงห่อผ้าจนข้าวของตกกระจาย เหลือติดมือจึงมีเพียงหนังสือที่นางยื้อแย่งสุดชีวิตและประกาศแผ่นนั้น ส่วนป้ายหยกขาว นางคล้องคอไว้แล้วคาดทับด้วยผ้าแถบอีกชั้น จึงหมดห่วงว่ามันจะ สูญหาย
ฟังเยว่ฉิววิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามที่สตรีสองนางก่อนหน้านี้วิ่งหนี ตามหลังนางมาไม่ไกลยังคงเป็นนางลู่ รั้งท้ายด้วยชายรุ่นเดียวกับนางอีกคน นางเกือบไม่รอดเงื้อมมือพวกนั้นแล้วเชียว หากไม่วิ่งเต็มฝีเท้าตัดหน้ารถม้าคันหนึ่ง จนทำให้ประกาศแผ่นนั้นหล่นจากมือ ม้าตัวใหญ่พ่วงพียกขาหน้าตะกุยตะกายในอากาศจนนางต้องรีบหลบก่อนจะได้รับอันตราย คนบังคับม้าร้องเสียงหลง พยายามควบคุมสัตว์พาหนะให้หายตื่นตกใจ
ฟังเยว่ฉิวตัดใจจากภาพ ‘พี่ต้าเผิง’ บนประกาศของทางการที่อยู่เป็นเพื่อนใจนางมาหลายราตรี เพราะคนที่ปองร้ายนางกำลังจะข้ามฝั่งถนน และเมื่อครู่นางก็ทำความเดือดร้อนให้เจ้าของรถม้า นางไม่มีปัญญาจะชดใช้อะไรให้ใครทั้งนั้น หญิงสาวจึงหันกายรีบวิ่งหนีหายปะปนเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่เริ่มออกันเข้ามามุงเหตุการณ์ระทึกขวัญด้วยความสนอกสนใจ
“ไม่ได้ชนใครเข้านะเล่าหลาง” เผิงเซิ่งอี้ใช้มือเปิดม่านให้เผยออกเพื่อถามคนติดตาม หลังจากคนบังคับม้าควบคุมมันจนสงบลงมากแล้ว ตั้งแต่ชายหนุ่มประสบเหตุตกหลังม้าครั้งหลังสุดจนเกิดอาการปวดหัวเห็นภาพซ้อนบ่อยครั้ง ทำให้เขาจำเป็นต้องละการกุมบังเหียนอยู่บนหลังม้าตามลำพังมาพักใหญ่แล้ว
“มีผู้หญิงพรวดพราดวิ่งตัดหน้าไปขอรับนายน้อย นางหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” เล่าหลางวัยสามสิบเอ่ยอย่างหัวเสีย เพราะเขาเองก็เกือบพลัดตกจากที่นั่ง
“หากนางไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็แล้วไปเถอะ” ขณะเผิงเซิ่งอี้กำลังจะปิดม่านลงเพื่อสั่งให้คนบังคับม้ามุ่งไปยังตำหนักของเสวี่ยอ๋อง พลันสายตาก็เหลือบเห็นประกาศแผ่นที่ตกอยู่ใกล้เท้าม้า ซึ่งเล่าหลางก็เห็นเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มกระโดดลงจากที่นั่งหลังคนบังคับม้า แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ผู้เป็นนาย
“ประกาศตามหานายน้อยนี่ขอรับ ทำไมยังมีหล่นอยู่ตรงนี้อีก เรื่องมันก็ผ่านมานานหลายเดือนแล้วนี่นา ใครมาทำตกหล่นไว้” เล่าหลางหันรีหันขวาง
เผิงเซิ่งอี้มองภาพวาดของตัวเองในประกาศอย่างพินิจพิเคราะห์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นประกาศตามหาตัวเองเพราะถูกอุบายว่าท่านย่าสิ้นใจ หลังจากกองทัพของเขาเพิ่งหักธงสุดท้ายของหนานลู่ลงได้ ครานั้นจึงทิ้งกองทัพให้เหอเติ้งเหลยดูแลชั่วคราว แล้วควบม้ากลับถูหยางพร้อมคนติดตามสามคน พวกเขาถูกลอบโจมตีจากกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย เพราะ เคี่ยวกรำศึกมาเป็นเวลานาน กำลังพลที่ติดตามก็น้อย ต้องควบม้าหนีมาถึงเนินเขาลูกหนึ่ง ความทรงจำสุดท้ายคือเขาถูกยิงด้วยหน้าไม้พลัดตกหลังม้าลงมาตามลาดไหล่เขา
กระทั่งวันที่พบกองกำลังทหารของเสวี่ยอ๋องซึ่งถูกส่งไปติดตามค้นหา พวกเขาก็ถูกดักซุ่มโจมตีอีกครั้ง ผลจากการตกหลังม้าช่วงชุลมุน ทำให้ความทรงจำตลอดระยะเวลาสองเดือนที่หายตัวไปนั้น อย่างไรก็ไม่อาจเรียกคืน นอกจากฝันเลือนรางและเสียงเพรียกหาของสตรีซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้านางชัดเลยสักครั้ง
“นายน้อย” เสียงของเล่าหลางเรียกสติของเผิงเซิ่งอี้ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
“สีหน้าท่านไม่ดีเลย เรากลับจวนกันก่อนดีไหมขอรับ แล้วข้าจะส่งหนังสือไปยังตำหนักเหมันต์พิศุทธิ์”
“ไปต่อเถอะ นั่งพักในรถม้าสักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น ธุระของเสวี่ยอ๋องย่อมสำคัญกว่าใบหน้าไร้เลือดฝาดของข้าเพียงชั่วครู่”
แต่เดิมนั้นเผิงเซิ่งอี้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดั่งม้าศึก ทว่าพักหลังมีเรื่องมากระทบใจบ่อยครั้งจนคล้ายเป็นคนจิตใจเลื่อนลอย ชายหนุ่มตวัดมือปิดม่าน เขาพับประกาศแผ่นนั้นแล้วสอดไว้ในอกเสื้อ ไม่รู้เพราะสาเหตุใด จึงตัดใจทิ้งภาพวาดของตัวเองไม่ลง
ทางด้านฟังเยว่ฉิวที่วิ่งไปหลบอยู่ข้างตะกร้าเศษผักหลังครัวของโรงเตี๊ยมใหญ่แห่งหนึ่ง ก็ได้รับน้ำใจจากบรรดาคนงานในครัวให้อาหารและน้ำแก่นาง หญิงสาวขันอาสาทำงานแลก ไม่ขอรบกวนพวกเขาฝ่ายเดียว ค่ำนั้นจึงได้รับน้ำใจอีกครั้งให้พักในเรือนของหญิงม่ายผู้หนึ่ง เพราะเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งหนีและงานล้างถ้วยชามที่มากมาย ทำให้คืนนั้นเปลือกตานางปิดลงอย่างง่ายดาย หนังสือของพ่อในอ้อมอกและหยกขาวแนบกาย ทำให้ใจนางเย็นชื่นในค่ำคืนร้อนอบอ้าวท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าในเมืองหลวงของหมิงอาน


วันขึ้นสิบสองค่ำเดือนห้า องค์จักรพรรดิเรียกเผิงเซิ่งอี้เข้าวังเพื่อพระราชทานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครบยี่สิบสี่ปีเต็มของเขาที่ศาลากระเบื้องหยกแดง งานเลี้ยงส่วนพระองค์นั้นมีพระชนนี พระมเหสี และองค์หญิงหงหญ่ารวมอยู่ด้วยในฐานะ ‘คนในครอบครัวเดียวกัน’
บรรยากาศภายในศาลากลางอุทยานหลวงเป็นไปด้วยความชื่นมื่นของอิสตรีทั้งสาม เต็มไปด้วยการลอบสังเกตอากัปกิริยาของว่าที่เจ้าบ่าวจากสายพระเนตรจักรพรรดิเสียเจิ้ง และอุดมไปด้วยความเรียบเรื่อย ลื่นไหลตามน้ำ เพราะเผิงเซิ่งอี้ถือว่าเป็นหน้าที่ จึงพยายามสั่งตัวเองให้มีความสุข
ที่มีผู้กล่าวไว้ว่า เวลาของคู่รักมีค่าดั่งทองพันจิน ล่วงเข้าเวลาบ่าย จักรพรรดิเสียเจิ้งก็เสด็จออกจากอุทยานหลวงพร้อมพระมเหสีและพระชนนี ปล่อยให้ว่าที่บ่าวสาวอยู่กันตามลำพัง
วาระพิเศษนี้ องค์หญิงหงหญ่ามอบป้ายหยกซึ่งสลักคำ ‘หงส์เคียงพยัคฆ์ มั่นรักนิรันดร์’ แก่ว่าที่เจ้าบ่าว ยามเมื่อชายหนุ่มรับของแทนใจ ก็เอียงอายจนนวลปรางแดงเรื่อ ใครว่าสตรีไม่มีสิทธิ์เลือกคู่ครองด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็มีนางนี่แหละที่สามารถกระทำได้อย่างพระทัย
“ท่านชอบมันหรือไม่”
“ชอบพ่ะย่ะค่ะ” เขามีสิทธิ์อันใดที่จะปฏิเสธว่าไม่ชอบมัน
‘มั่นรักนิรันดร์’ กระนั้นหรือ
หากไม่มีความรักแล้วไซร้ จะเอาคำว่า ‘นิรันดร์’ มาจากที่ใด
เผิงเซิ่งอี้นำป้ายหยกสอดเก็บไว้ในอกเสื้อ จำใจรับสภาพ ในฐานะลูกกตัญญู เกิดเป็นบุตรชายตระกูลเผิง ลมหายใจล้วนต้องมอบให้ราชสำนัก หากอยากทำตามใจตนเอง ย่อมไม่ใช่หนึ่งชีวิตที่ต้องชดเชย
เสี่ยวหม่าน ฤดูเมล็ดพันธุ์อุดม (๒๐-๒๒ พ.ค.) หรือปักษ์รวงข้าวน้อย เป็นช่วงที่ข้าวเริ่มออกรวง ชาวจีนเรียกการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ว่า หวงจิง จาก ๐ องศาของหวงจิง แบ่งวงโคจรทั้ง ๓๖๐ องศาออกเป็นส่วนละประมาณ ๑๕ องศา ช่วงเวลาผ่านทุก ๑๕ องศา เป็น ๑ ฤดูกาล ดังนั้น ในแต่ละปีก็จะได้เป็น ๒๔ ฤดูกาลของดินฟ้าอากาศ และทุกเดือนมี ๒ ฤดูกาล
หนึ่งจินประมาณ ๖๐๐ กรัม

Komentar Buku (2)

  • avatar
    สุภาพรฯ สิงห์คำ

    ชอบมากๆค่ะ

    25/05

      0
  • avatar
    ศุภกิจ ปิ่นเกตุ

    สนุก

    11/11

      0
  • Lihat Semua

Bab-bab Terkait

Bab Terbaru