การมาถึงของหลี่อวี้อ๋องเงียบเชียบปราศจากความเอิกเกริก เฉกเช่นเดียวกับการไปปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ ของเขาเพื่อสืบราชการลับ แม้ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่จะใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับไม่มีบ่าวไพร่เดินให้ขวักไขว่ดังเช่นจวนขุนนางอื่น ๆ หากเทียบกันแล้วจวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่เพียงหนึ่งในสามของจวนขุนนางเหล่านั้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นการแสดงความอัตคัดขัดสนแม้แต่น้อย ตระกูลมู่หรงแม้เพียงกระถางต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมมีราคากว่าที่ดินสิบแปลงหลี่อวี้อ๋องรู้สึกรู้สึกพึงพอใจในบรรยากาศของจวนแห่งนี้ไม่น้อย ขณะที่กำลังเดินอยู่เขาได้สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อจะมองหาท่านหญิงจอมแก่นด้วยตนเอง พยายามนึกว่าสาวน้อยเช่นนางจะโปรดปรานการทำสิ่งใดในช่วงสายของวันเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปที่เขารู้จัก คงจะไม่พ้นการไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกับคนสนิทข้างกาย หรือเข้าอบรมบ่มนิสัย ไม่เช่นนั้นก็นั่งจิบชาเสียเฉย ๆ แต่ดูแล้ว มู่หรงเยว่ชิงคงจะไม่เป็นเช่นนั้นจวนใหญ่โตมักจะสร้างสวนเอาไว้หลายแห่ง ทั้งเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ อวดความมั่งคั่ง หรือเพื่อปิดบังตัวเรือนชั้นในจากสายตาคนนอก นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนัก หากจะนึกให้พิเรนท์สักหน่อย ก็เห็นจะมีเพียงโรงครัวและโรงม้าที่น่าจะสร้างความตื่นตาให้กับสาวน้อยแสนซุกซนที่กล้าแอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้“รีบมาเถอะ ก่อนที่เขาจะได้พบกับท่านพ่อ” เสียงเล็ก ๆ ที่พยายามลดเสียงลงเอ่ยขึ้น“แต่เขารับปากแล้วนะเจ้าคะว่าจะไม่บอกท่านแม่ทัพถึงสาเหตุที่แท้จริง ว่าทำไมถึงได้พบกับคุณหนู”“ชู่ว!!”หลี่อวี้อ๋องได้ยินเสียงสนทนามาจากมุมสวนเล็กข้างหน้า เขาจึงหยุดเดิน เพื่อจะรอให้ผู้พูดเป็นฝ่ายตรงเข้ามาหาเอง เขาจำเสียงนางได้ตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวเสียด้วยซ้ำ“อย่าพูดถึงเรื่องเมื่อวานอีก หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากคุณชายทั้งสามของเจ้ามาได้ยินเข้าจะทำอย่างไรฮึเพ่ยเพ่ย พวกเขาไม่ผลัดกันมานั่งเฝ้าข้าด้วยตัวเองเลยหรือ”เสียงสวบสาบของชุดและฝีเท้าย่ำถี่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เสียงบ่นถึงนิสัยของพี่น้องทั้งสามของนางก็ดังไม่หยุด“คุณหนูจะกังวลไปไย อย่างไรเสีย บุรุษท่าทางสง่างามแบบคุณชายท่านนั้นก็ไม่มีทางจะกลับคำที่เคยลั่นวาจาหรอกเจ้าค่ะ”“เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไร หากเขาเป็นคนดีจริง คงไม่ข่มขู่ว่าจะฟ้องท่านพ่อหรอก เราต้องเอาทองนี่ไปปิดปากเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจในตอนหลัง”“พูดถึงข้ากันอยู่หรือ”“โอ๊ย!”จู่ ๆ ร่างสูงก็ก้าวออกมาขวางบนทางเดินกะทันหัน เยว่ชิงไม่ทันได้ตั้งตัวเลยปะทะเข้ากับแผงอกแกร่งเต็มแรง“คุณหนู!”เพ่ยเพ่ยเตรียมจะเข้ามาพยุงร่างของเจ้านาย แต่บุรุษที่พรวดพราดออกมากลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แล้วรับร่างของเยว่ชิงเอาไว้ในอ้อมแขน“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวหกล้มขึ้นมาบิดาของเจ้าได้เอาโทษข้าแน่” เสียงทุ้มแกล้งตำหนิเขาก้มลงสบตากับร่างเล็กที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึง“เอ๊ะ แต่ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบท่านแม่ทัพใหญ่หรอกใช่ไหม ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะใช้ทองมาปิดปากข้า” นัยน์ตาเขาฉายแววเจ้าเล่ห์“ทะ...ท่าน ได้ยินด้วยหรือ”นางตื่นตกใจในคราแรก พอได้สติจึงพยายามจะขืนตัวออกจากอ้อมแขนที่โอบรัดเอาไว้แน่น แต่กลับทำไม่ได้“ปล่อยข้านะคะ”เขาปล่อยนางออกแต่โดยดี ใบหน้าเจือรอยยิ้มขำขัน“ข้าได้ยินทั้งหมดนั่นแหละ ทีนี้เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าดี หืม” เขานึกสนุกอยากรู้“ไม่ทำอย่างไรหรอก นอกจากชดใช้สิ่งที่ติดค้างกันเอาไว้”พูดจบนางก็หันไปพยักหน้าให้สาวใช้ ซึ่งหยิบถุงที่บรรจุทองเอาไว้จนเต็มแน่น แต่กลับถูกอีกฝ่ายยกมือห้าม“ข้าไม่ต้องการของเหล่านี้”เจ้าของทองมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเศษเงินของนาง ที่นางหลอก เอ๊ย…ที่บรรดาคุณชายทั้งหลายเต็มใจให้นางต่างหาก เอาเป็นว่าทองเต็มถุงนี้ถือว่ามากมายเหลือเกินสำหรับคนทั่วไปที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินแล้วใช้จ่ายได้เป็นปีหรือหลายปี แต่ชายตรงหน้ากลับปฏิเสธ“แล้วท่านต้องการสิ่งใด ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าจะหามาให้ เพื่อตอบแทนสิ่งที่ท่านทำ”“ข้ายังไม่ทันคิด”“เมื่อวานท่านก็พูดเช่นนี้ มาวันนี้ยังคิดไม่ออกอีกหรือ” ถ้าเช่นนั้นท่านจะมาที่นี่ทำไมกัน นางทำได้เพียงต่อประโยคในใจ จะเอ่ยออกไปก็เกรงว่าจะเสียมารยาท ถึงแม้เขาสมควรได้รับคำถามแบบนั้นก็เถอะ“ตอนแรกข้าคิดออกแล้ว แต่พอเห็นเจ้า ความคิดของข้าก็พลันมลายหายไป ต้องโทษความงามอันชวนตะลึงของเจ้าเสียแล้ว” หลี่อวี้อ๋องใส่น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ลงไปด้วย และนางก็ฟังออก จึงไม่ได้ออกอาการเอียงอายอะไร มีแต่อยากจะต่อปากต่อคำกลับไปก็เท่านั้นเหตุใดหนอ เขาถึงได้จงใจจะกลั่นแกล้งนางนัก ราวกับรู้ว่ายิ่งนางเกรงกลัวบิดาเพียงใด ก็ยิ่งอยากจะแกล้งมากเท่านั้น“ความงามเป็นเหตุจริงเชียว” นางพึมพำแต่ตั้งใจให้คนที่อยู่ตรงหน้าได้ยินด้วย หากเป็นสตรีอื่นคงอายม้วนไปแล้ว แต่นางคือมู่หรงเยว่ชิง รู้ว่าตัวเองงาม จะถ่อมตัวไปทำไมชายหนุ่มหัวเราะลงลูกคอ ก่อนจะดึงนางเข้ามาใกล้ เป็นเพียงการสัมผัสอันแผ่วเบา ไม่ได้มีความรุกล้ำใด ๆ แต่ทำให้นางถึงกับประหวั่นกับความใกล้ชิดแบบปุบปับ“นี่ท่าน…”“เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าความงามเช่นนี้ สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้อื่นเพียงใด”“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” นางสั่งเสียงแข็งและพยายามขืนตัวออกแต่ทำไม่ได้ชายหนุ่มทำเป็นหูทวนลมแล้วแกล้งรัดนางแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย“ท่าน…”พอนางเอ่ยปาก เขาก็รัดนางแน่นขึ้นอีกเยว่ชิงขัดใจ ขบเม้มริมฝีปากแล้วเบือนหน้าหนี ผู้คนใต้หล้าที่เคยยลโฉมนางล้วนพรรณนาถึงความงามนี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยได้ประสบพบเจอก็ยังเอาไปกล่าวขานในบทกวี นางจึงไม่รู้สึกว่ามันคือความพิเศษแต่อย่างใด คิดแค่เพียงว่าเป็นเพราะบิดาซึ่งมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก ทุกคนจึงอยากจะสรรเสริญเยินยอเขาโดยผ่านนาง ซึ่งเป็นบุตรธิดาเพียงคนเดียวแต่เมื่อบุรุษแปลกหน้าที่นางไม่ทราบแม้แต่ชื่อมาพูดแบบนี้เข้านางกลับรู้สึกแปลก ๆ แล้วยิ่งถูกวงแข็นแกร่งกอดรัดอยู่อย่างนี้ ทำไมนางถึงไม่รู้สึกรังเกียจขยะแขยงนะ หัวใจของนางกลับสั่นระรัวเสียนี่“ท่านช่วยขยับถอยออกไปด้วยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้สงบนิ่ง ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล คงต้องใช้วิธีถนัด“ทำเช่นนี้มีแต่จะเสียมารยาท หากท่านยังนึกไม่ออกว่าต้องการสิ่งใด ก็เชิญกลับไปก่อนเถิด พอท่านนึกได้แล้วค่อยมาบอกข้าดีหรือไม่เจ้าคะ”“นี่คือการไล่กันทางอ้อมหรือ”“ข้าเปล่า แต่ในเมื่อท่านไม่ทราบความต้องการของตัวเอง แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร” นางเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกคำรอบ เมื่อเห็นเขายังทำหน้ายียวน จะเอาอย่างไรก็ไม่เอาสักทาง“ความจริงข้ารู้นะว่าข้าต้องการสิ่งใด” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับจ้องหน้านางนางกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด เสียงเรียกอันร้อนรนของบิดาก็ทำให้การสนทนายุติลง และนางได้แต่หันไปมองเขาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นความตื่นตกใจฉายอยู่บนใบหน้าของท่านพ่อ“คาราวะหลี่อวี้อ๋อง เสด็จมาถึงนี่มีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อวี้อ๋องเยว่ชิงหันขวับ มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหันไปหาเพ่ยเพ่ยที่มีท่าทางไม่ต่างกัน“เยว่ชิง! ท่านอ๋องเสด็จมา เหตุใดเจ้าจึงไม่แจ้งพ่อ” แม่ทัพมู่หรงก้าวเข้ามาประชิดตัว แล้วกระซิบเสียงเครียด“บุรุษผู้นี้...” นางยกมือชี้ไปยังคนตรงหน้า “คือท่านอ๋องหรือเจ้าคะ” นางกล่าวช้า ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ“เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เดี๋ยวนี้” บิดาของนางกัดฟัน ก่อนจะหันมาหาหลี่อวี้อ๋องที่ดูฉากตรงหน้าด้วยใบหน้ากลั้นยิ้ม ทั้งสงสารแม่ทัพมู่หรงที่กลัวตัวเองและบุตรสาวจะคอขาด แต่ก็ขำกับท่าทางตกตะลึงของเยว่ชิงที่เมื่อครู่ยังขู่เขาฟ่อ ๆ“ข้านี่แหละ หลี่อวี้อ๋อง หรือคุณชาย ที่เจ้าเข้าใจไปเองน่ะ” เสียงนุ่มทุ้มแทรกขึ้นนางอ้าปากค้าง แต่แล้วก็หุบปาก พอดีกับที่ถูกบิดาถลึงตาใส่ตาเขียว จึงตั้งสติแล้วย่อตัวลงต่ำจนแทบจะติดพื้น ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่อ่อนลง“ขอพระราชทานอภัยในความโง่เขลาของเยว่ชิงที่บังอาจล่วงเกินท่านอ๋อง หากจะทรงมีพระกรุณา ได้โปรดประทานอภัยโทษแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ” อันที่จริงนางแกล้งนอบน้อมเขาไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่ในใจนางเดือดดาลคนตรงหน้าเป็นอย่างมากที่ปั่นหัวนางอยู่เป็นนานสองนาน“เขาว่ากันว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่หากถึงขนาดไม่รู้ฟ้ารู้ดินเช่นนี้จะทำเยี่ยงไรดี” ผู้มีศักดิ์เป็นท่านอ๋องแกล้วกล่าวเสียงเข้ม“ท่านอ๋องโปรดเมตตา”
ดีมากกก
1d
0วาสว
2d
0ดีี
8d
0Lihat Semua