04ลึกภายในใจเกินจะหยั่งรู้ เสียงเพลงในร้านกาแฟแห่งหนึ่งเปิดคลอเบๆ ภายในร้านไม่ได้มีลูกค้ามากนักผมนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงข้ามกับไมล์ คนตรงหน้าผมเลื่อนโทรศัพท์เล่นไปมา มีเสียงแชทข้อความดังเรื่อย ๆ ดูเธอจะจดจ่อกับการแชทมาสักพักแล้ว ตั้งแต่มานั่งที่ร้านก็ไม่ได้พูดคุยกับผมนอกจากถามว่าจะสั่งอะไร จะกินเค้กกับเธอไหม ถึงจะเป็นยังงั้นระยะห่างระหว่างพวกเรามันได้ถูกทำลายลงในที่สุด เราสนิทสนมกันมากขึ้นพูดคุยหยอกล้อกันได้มากกว่าสมัยมัธยมปลายด้วยซ้ำ ไมล์ค่อยมารับไปส่งผมเสมอ เธอให้ผมพาไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ และจบลงที่ร้านกาแฟร้านใดร้านหนึ่งเป็นเช่นนี้มาร่วมอาทิตย์ เพื่อน ๆหลายคนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกผมเพราะไม่ว่าจะไปไหนไมล์มักจะเช็คอินพร้อมกับแท็กชื่อของผมอัปโหลดลงโซเชียลเสมอ เหตุผลที่เพื่อน ๆให้ความสนใจอาจเพราะไม่มีใครไม่รู้เรื่องระหว่างผมและคนรักเก่า มันน่าประหลาดใจที่ไมล์ไม่รู้เรื่องนี้ หรือกำลังทำเป็นไม่รู้?ยังไงก็ตามผมไม่ได้สนใจที่จะเล่าให้เธอฟัง เรื่องราวบางเรื่องถ้าพูดออกไปแล้วทำให้อีกฝ่ายอึดอัดผมเลือกที่จะไม่เอยออกไปให้เขารับรู้จะดีกว่า ดังนั้นผมตัดสินใจที่จะลืมมันไปให้หมด ทิ้งอดีตไว้ในอดีตปล่อยมันไว้อย่างนั้นคิดว่าดีที่สุดแล้วถ้าจะให้พูดกันตามตรงผมว่าช่วงเวลาเหล่านี้คงจะยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผมแล้วก็ได้มั้ง มันสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ไมล์ ความสดใสจากเธอกำจัดความเศร้าหมองออกจากตัวผมไปโดยสิ้นเชิง สายตาผมจ้องมองไปยังเด็กสาวสดใสตรงหน้า เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่ก็ตอนที่รอยยิ้มสดใสจากไมล์ผลิบาน“ยิ้มบ้าอะไรของแกนิกม์” ไมล์ถามปนเสียงหัวเราะ เจ้าตัวอมยิ้มเพ่งมองผมกดดันจะเอาคำตอบ ผมเลิกลั่กหาคำตอบ หน้าเริ่มร้อนผ่าวเมื่อรู้คำตอบในใจ เพียงแต่จะให้บอกโต้ง ๆว่าคิดถึงความอิ่มเอมใจซึ่งได้รับจากเจ้าของคำถามก็เกรงว่าจะคล้ายกับคำสารภาพรัก“โอยยยยฟินมากแก เค้กนุ่มละลายในปากสุด ๆ” แต่ตัวเธอคงไม่ได้สนใจกับคำตอบแล้ว หลังจากเจ้าตัวได้ลิ้มรสหอมหวานจากเค้กของร้านกาแฟที่พวกเรานั่งมาได้สักพักใหญ่ หน้าตาส่งสุขอะไรขนาดนั้นคุณเธอ“อร่อยขนาดนั้นเลย มันก็เหมือนกันทุกร้านนั่นแหละ”เธอมองตาค้อนใส่ผม ดึงช้อนที่คาบอยู่ในปากออกพร้อมกับตักเค้กคำโตยื่นมาให้ผมลิ้มลอง“ลองชิมดูสิ อ้ามมมมม” ถึงจะรู้สึกเขินกับการโดนไมล์ป้อนเค้กกลางร้านกาแฟแต่เอาเข้าจริงคงไม่มีใครมานั่งสนใจเหรอก แต่ว่าเมื่อกี้มันเรียกว่าจูบทางอ้อมรึเปล่านะ ผมชักจะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว นี่ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่ว่ะเนี้ย“แกมีแฟนรึเปล่า” หน้าผมเหวอไปเลยเหตุมาจากตอบสนองต่อความเร็วในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่ทัน ยังไม่ทันได้ตอบเลยว่ารสชาติเค้กเป็นยังไงก็พาโบยไปเรื่องอื่นซะงั้น แถมยังเป็นหัวข้อตอบยากอีก“ไม่มีเหรอก”“จริงดิ!? ไหงเป็นงั้นไปได้ท่าทางแกออกจะมีคนรุมล้อม”“นั่นมันแกต่างหาก คนเข้ามาจีบเยอะเลยสิ เลือกใครมาเป็นแฟนสักคนยัง”“ยังไม่มีเหรอก รอใครสักคนชัดเจนกว่านี้ก่อน...” ดวงตาเธอฉายแววเศร้าหม่นจนผมแปลกใจ อีกทั้งตัดบทจบย้อนมาที่เรื่องของผมอีกครั้งทันที “เออ ช่างเถอะ ว่าแต่แกล่ะ ทำไมไม่มีแฟนสักที อย่าบอกนะว่าไม่คิดจะนอกใจเราไปมีคนอื่นน่ะ ฮ่า ๆ”เหลือเชื่อจริงๆเลย ยัยนี่พูดออกไปโดยไม่รู้สึกอะไรแล้วสินะ“จะว่าไงดีละ มันก็มีนะแต่เขาไม่อยู่แล้ว”“เลิก?”“จะเรียกแบบนั้นก็ได้”“อ้ออืม เสียใจด้วยนะ ขอโทษที่ถามขึ้นมานะ”"ช่างเถอะน่า ไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว" บรรยากาศชวนอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างเรา บทสนทนาจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ไมล์ไม่ได้เอยถามเรื่องใดใดต่อและก้มหน้าก้มตาจิบกาแฟร้อนคู่กับเค้กอย่างเงียบเชียบ มีบางคราที่เธอดูลังเลราวกับยังมีคำถามที่ติดค้างแต่ลงเอยโดยไม่ปริปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว@บ้านนิกม์ยามค่ำคืนจันทร์ขึ้นเต็มดวงส่องสว่าง มีสายลมกรรโชกแรงผ่านมาวูบหนึ่ง ผมยาวสลวยพัดปลิวไปตามแรงลม กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอส่งมายังผม เราสบสายตาประสานกันเสี้ยววินาทีก่อนไมล์จะเสมองไปทางอื่น ผมจึงตัดสินใจที่จะบอกลาเธอและปล่อยไมล์ให้เป็นอิสระจากความกระอักกระอ่วนนี้เสียที“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากไมล์เรียกรั้งผมไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง ผมหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจผมกระตุกเล็กน้อย“...!?”“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”“ทำไมถึง...”“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งผม แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด“อย่าพูดแบบนี้สิ คนเราก็มีหวั่นไหวกันบ้างนะ”“ห้ะ!? นี่แกใช่นิกม์แน่เหรอ เป็นร่างโคนนิ่งรึเปล่าเนี่ย“เออก็ใช่ดิ คิดว่าใครยื่นหัวโด่อยู่นี่ครับ โคนนิ่งอะไรเถียงได้” ผมตอบกลับไปทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะมาฉุกคิดได้ว่าฟังยังไงก็ไม่ใช่ตัวผมจริงๆ ผมไม่เคยพูดจาทำนองนี้กับไมล์ คำพูดเมื่อกี้บ่งบอกว่าลึกลงไปในใจผมยังคงอยากให้เธอรักและตามหยอกล้อผมเช่นเดิม“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ” ไมล์หัวเราะดังลั่นพร้อมกับพุ่งตรงเข้ามาใส่ผม ง้างมือตบหน้าผมถึงแม้จะไม่ได้ทำให้หน้าหันไปทางใดทางหนึ่ง แต่ก็แรงพอที่จะทำให้รู้สึกตัวว่าผมมันช่างไร้สติเสียเหลือเกิน เธอพูดงึมงำบางอย่างก่อนจะกำมือแน่นยกขึ้นมาวางบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของผมโดยไม่พูดอะไร และเอาแต่ก้มหน้าไม่สบตา“ตลอดเวลาอาทิตย์กว่า เราได้กลับมาเจอกัน ไปนู้นนี่ด้วยกัน..ฮึ” ไมล์พูดขึ้นโดยไม่ได้ผลักมือออกจากผม จังหวะหนึ่งถ้าเข้าใจไม่ผิดเหมือนมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย เธอจึงเว้นช่วงไว้“...”“แกไม่รู้สึกว่านี่มันบ้าบ้างเหรอ เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”“ไม่เห็นจะแปลกอะไรสักหน่อย”“แปลกสิ...!! แปลกมากด้วย”สิ้นเสียงเกรี้ยวกราดจากไมล์ เธอผลักตัวเองออกจากผม เงยหน้าจ้องผมด้วยสายตาดุดัน เราประสานตากันนิ่ง ภายในใจเต็มไปด้วยความลังเล ยิ่งเธอไม่ละสายตาออกจากผมมันยิ่งทำให้สับสนว่ามันแปลกอะไรที่พร้อมจะกลับมาสนิทกันเช่นเดิม “ไมล์”“แกทำแบบนี้กับเราได้ไง นี่แกยังจะปิดบังเราไปเพื่ออะไร”“แกหมายถึงอะไร”“เราเจ็บนะเว้ย โดยเฉพาะเรื่องแฟนแกที่...”“ภีมเสียแล้ว” ผมพูดตัดบทจบอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ไมล์จะได้เอยคำใดใดต่อ“อือ เรารู้จากเต๋อแล้ว”“นั่นสินะ”“เรารอฟังจากแก แต่แกก็ไม่พูดสักที ทุกครั้งที่เรามองหน้าแกคำพูดของเต๋อก็ลอยเข้ามา มันทำให้อึดอัดมากเลยนะ”“เราทำใจได้แล้ว ตั้งนานแล้วด้วย เลยคิดว่าไม่พูดให้แกอึดอัดจะดีกว่า” ทำไมอยู่ ๆ ตัวผมก็พูดประโยคนี้ออกไปได้โดยไม่ได้เจ็บปวดอะไร จริงอยู่ว่าภีมคนรักของผมเสียไปตั้งนานแล้วแต่ยังไงผมก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ และการมาพูดมันออกไปโต้ง ๆ แบบนี้ ทำผมยิ่งรู้สึกผิดต่อภีมมากขึ้นกว่าเดิม“เราขอโทษนะนิกม์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำแกอึดอัด เราเข้าใจแล้วถ้าแกไม่อยากเล่าอดีตก็ไม่เป็นไร” ว่าจบเธอก็หันหลังกลับไปขึ้นค่อมรถมอไซต์คันเก่ง ทิ้งเรื่องไว้ให้คาราคาซังตามเคย “เราไม่อยากจะคาดหวังอะไรจากความสูญเสียของนิกม์นะ” เธอทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นและจากไปอีกครั้ง ภาพวันนี้ช่างเหมือนกับวันนั้น...วันที่เราได้พบกันเป็นครั้งสุดท้าย
ดีวดวมด
6h
0❤️🔥💞
13h
0ชอบมากๆ
2d
0Lihat Semua