“ขอสายคุณสองค่ะ”เสียงเลขาฯ ของเขารับโทรศัพท์ พอฉันบอกว่าติดต่อเรื่องออกแบบเรือนหอของเขา เธอถามย้ำจนฉันต้องตอบอีกที ในที่สุดเธอก็โอนสายไปให้เหมือนเลขาฯ ของเขายังไม่รู้ ทำไมนะ แค่เจ้านายจะแต่งงานแค่นี้ทำตื่นเต้นไปได้“คุณสองเหรอคะ ดิฉันโทร. มาจาก ANZ Design นะคะ จะติดต่อเรื่องที่คุณว่าจ้างเราแต่งเรือนหอให้น่ะค่ะ”“ครับ”“คือฉันร่างห้องหอ เอ๊ย ห้องนอนของคุณเสร็จแล้วค่ะ อยากจะถามว่าคุณอยากจะดูก่อนหรือเปล่าคะ เผื่อว่าคุณอยากจะแก้ไขหรือเพิ่มอะไร”“พักนี้ผมไม่ค่อยว่าง คุณตัดสินใจไปเลยแล้วกัน ผมขอดูตอนสุดท้ายทีเดียวเลย ไม่อยากให้เสียเวลา”อะไรนะ! ฉันอุทานอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่ เรื่องบ้านของตัวเองแท้ ๆ ดันไม่สนใจ หรือว่ารวยมาก บ้านหลังนี้แต่งให้เมียเก็บหรือเปล่าก็ไม่รู้“คุณจะเริ่มเข้ามาแต่งบ้านได้เมื่อไหร่” เจ้าของงานถามในที่สุด“ฉันต้องทำห้องอื่น ๆ ด้วยค่ะ แต่อยากคุยกับคุณเรื่องคอนเซปต์โดยรวม ถ้าคุณไม่ชอบจะได้แก้ตั้งแต่ต้น”“แฟกซ์มาให้เลขาฯ ของผมแล้วกัน” เขาตัดบทแล้วโอนสายให้เลขาฯเป็นลูกค้าที่แปลกจริง ๆ ฉันบ่นในใจ แล้วบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องของฉันสักนิด คนรวยมักมีนิสัยแปลก ๆ แบบนี้ล่ะ บทจะง่ายเสียก็ง่ายจนน่าตกใจ บทจะเรื่องมากก็แก้ไขมันได้ทุกจุด ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกค้าเสียอย่างทำอะไรไม่ผิดอยู่แล้ว ...เวลาผ่านไปสองอาทิตย์ แบบตกแต่งภายในบ้านขนาดหกสิบตารางวาก็เสร็จเรียบร้อย พอส่งไปให้ลูกค้าพิจารณาแล้ว คืนนั้นฉันก็วางแผนจะไปฉลองให้ตัวเองด้วยการไปฟังเพลงและดื่มอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเพื่อนร่วมงานเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นก่อนที่จะออกจากที่ทำงาน“นรีเหรอ พี่เองนะ”เสียงคุ้นหู ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้คุยกันมาหลายเดือนแล้ว“พี่นุมีอะไรหรือเปล่าคะ”“ไม่ได้เจอเรานานแล้ว อยากคุย อยากรู้ว่าสบายดีหรือเปล่า ทำไม โทร. หาไม่ได้รึไง” ฉันย่นจมูกกับโทรศัพท์“สบายดีค่ะ แค่นี้นะคะ นรีกำลังจะไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน”“นรี” เสียงพี่ชายดุ “พี่มีธุระนิดหน่อย มากินข้าวที่บ้านหน่อยได้ไหม ยกเลิกนัดเพื่อนสักวัน”“แต่”“เราไม่ได้กลับบ้านมาเกือบปีแล้วนะ ยังไม่หายงอนอีกเหรอ”“ไม่ได้งอน...”“ไม่เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า เอาเป็นว่าพี่จะให้เจ้าคีไปรับนะ มันกำลังไปเซตงานให้บริษัทที่อยู่ตึกเดียวกับเรา”พี่ชายไม่รอให้ฉันตอบ “สักหกโมงครึ่งนะ แล้วเจอกัน พี่ให้เบอร์เรากับเจ้าคีมันแล้ว อีกสักพักมันคงโทร. ไป แค่นี้นะ” ...ฉันไม่ได้กลับบ้านมาเกือบปีอย่างที่พี่ชายว่า นับแต่พี่ชายแต่งงาน ฉันก็ออกจากบ้านไปอยู่หอพักหน้ามหาวิทยาลัย จะแวะกลับบ้านแต่ละครั้งก็เพราะมีเรื่องต้องไปเอาเอกสารบ้าง ไปขอลายเซ็นพี่ชายในการทำธุรกรรมบางอย่างที่ฉันยังต้องขอความยินยอมจากเขาตามกฎหมายบ้างเท่านั้นพี่นุจะโทร. มาถามข่าวอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่เคยคะยั้นคะยอให้ฉันกลับบ้าน หลังจากที่พยายามมาสองสามครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลังจากพี่นุวางสายไปประมาณสิบนาที“ผมคีตานะ”น้ำเสียงมั่นใจตัวเองแบบสุด ๆ ของเขากรอกมาตามสาย “ผมยังทำงานไม่เสร็จเลย ลงมาที่ชั้นสามได้ไหม ผมอยู่ห้องคอมพิวเตอร์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่อยู่ชั้นสามน่ะ ห้องสามสองเจ็ด”“ทำไมฉันจะต้องลงไปด้วย”สำนักงานของฉันอยู่บนชั้นเจ็ดของตึกย่านธุรกิจบนถนนสีลม ชั้นหนึ่งและสองเป็นศูนย์การค้าและแหล่งรวมร้านอาหาร ตั้งแต่ชั้นสามถึงชั้นสิบเจ็ดเป็นพื้นที่ให้เช่า“เพราะผมกำลังเบื่อและอยากคุยกับใครสักคนที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ งานของคุณเสร็จหรือยังล่ะ ถ้าเสร็จแล้วก็ลงมาเลยจะได้ไม่ช้ากันไปใหญ่”เขาเป็นผู้ชายที่เคยชินกับการวางอำนาจจริง ๆ ฉันบ่นในใจขณะลงไปที่ชั้นสามตามที่เขาบอก เพราะบริษัทปิดแล้วไม่มีใครอยู่ งานที่ค้างก็ไม่มีอะไรด่วน ลงไปทะเลาะกับนายคีตาคงดีเหมือนกัน“หวัดดี” ฉันนั่งลงข้าง ๆ ผู้ชายที่กำลังปลุกปล้ำอยู่กับเจ้าคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เสียงรัวคีย์บอร์ดอย่างคนชำนาญจัดดังรัววันนี้นายคีตาแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตขาวกับสแล็กส์สีเทาเข้มเข้ากับเนกไทสีเดียวกับกางเกงดูเนี้ยบกว่าที่เคยพบอีกหลายเท่า“หิวหรือยัง” เขาถาม โดยที่สายตายังไม่ละจากจอคอมพิวเตอร์“ทำอะไร” ฉันไม่ตอบเพราะถ้าตอบก็คงต้องตอบว่าหิว“อย่ารู้เลย รู้ไปก็ไร้ประโยชน์”ปากเสียอีกแล้วนายนี่ ไม่เจอกันเกือบสองเดือนเขาไม่ได้เปลี่ยนนิสัยให้มันดีขึ้นเหมือนการแต่งตัวที่ดูออกจะเป็นงานเป็นการในวันนี้เลย“เอาละ เสร็จแล้ว” เขาเคาะแป้นคีย์บอร์ดอีกสองสามทีแล้วจึงปิดเครื่อง หันไปหาเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ในห้องด้วย สั่งงานอะไรเล็กน้อยก่อนจะหันมาพยักหน้ากับฉัน“ไปกันเถอะ”ฉันกับนายคีตาทะเลาะและปะทะคารมกันไปตลอดทาง โชคดีที่รถไม่ติดจึงใช้เวลาในการเดินทางไม่นานนัก พอรถเลี้ยวเข้าตัวบ้านก็พบกับไฟหน้าบ้านสว่างไสวดูแปลกตา“มีงานเลี้ยงอะไรกันหรือ”“เดี๋ยวก็รู้เอง”“นรีมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยัง คีบอกป้าเนียมทีว่านรีมาแล้ว”ท่าทางนายคีนี่คงเป็นแขกประจำ เห็นเขาเดินเข้าครัวอย่างรู้ทาง แถมกลับออกมาพร้อมด้วยอาหารที่ยกมาเพิ่มฉันไม่เห็นพี่สะใภ้แต่ก็ไม่ถามถึง ลงมือกินอาหารฝีมือแม่ครัวเก่าแก่ของบ้าน“ป้าเนียมยังทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิม” ฉันบอกพี่ชาย “แต่ว่าพี่เรียกนรีมา มีอะไรเหรอ”“พี่มีใครจะแนะนำให้นรีรู้จัก กินข้าวเสร็จก่อนนะ” พี่ชายตอบและเปลี่ยนเรื่องไปถามสารทุกข์สุกดิบของฉัน และคุยกับนายคีตาเรื่องงาน“ไม่มีอะไรคุยกันแล้วหรือไง คุยแต่เรื่องซีเรียส” ฉันบ่นออกมาดัง ๆ “กินข้าวไม่ลง”“กินไม่ลงรึนั่น ผมว่าคุณเติมข้าวสองครั้งแล้วนะ” นายปากเสียนั่นได้ยินได้ยังไงไม่รู้ นอกจากปากดีแล้วยังช่างสังเกตอีก ฉันค่อนขอดเขาอยู่ในใจแต่พี่นุหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกำลังนั่งอยู่ดี ๆ ก็มีเสียงเด็กร้อง ฉันชะงักช้อนในมือ มองหน้าพี่ชาย “อิ่มหรือยัง” เขาถามฉันพยักหน้า พี่ชายเรียกแม่บ้านมาเก็บกับข้าว เดินนำฉันขึ้นชั้นบน พอจะเดาได้ว่าพี่สะใภ้คงจะคลอดลูกเมื่อไม่นานมานี้ฉันไม่ได้มาบ้านนี้นานถึงเก้าเดือนเชียวหรือนี่ เรื่องพี่สะใภ้ตั้งท้องฉันยังไม่รู้เลย ห้องนอนของพี่ชายมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งเด็ก พี่สะใภ้ของฉันนั่งอยู่ข้างที่นอนข้างเบาะนอนอันเล็ก กำลังวุ่นวายกับการจับขวดนมเข้าปากเด็กน้อยที่เอาแต่ร้องไห้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ออกจะกรีดกรายอย่างเธอจะทำได้ฉันไม่ถูกชะตากับพี่สะใภ้คนนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่สมัยที่เธอเป็นแฟนของพี่นุ เธอมักจะทำตัวเป็นคุณนายมาโดยตลอด ไม่เคยหยิบจับอะไร พี่ชายของฉันก็เอาใจนักเพราะเห็นว่าแฟนตัวเองรวยหรืออย่างไรไม่รู้ ท้ายที่สุดฉันต้องระเห็จตัวเองออกจากบ้านเพราะทนเธอไม่ได้ตามระเบียบวันที่ออกจากบ้าน จำได้ว่าทะเลาะกับคุณสริสา เมียของพี่นุเรื่องที่เธอบอกให้ฉันแต่งตัวดี ๆ ให้เรียบร้อยมากขึ้นกว่าเดิมเวลาไปเรียน ตอนนั้นฉันแต่งตัวเซอร์สุด ๆ เลยฟิวส์ขาด ประกาศออกมาว่าจะแต่งตัวยังไงมันก็เรื่องของฉัน ฉันหาเงินเรียนของฉันเองได้“ฝาแฝดหรือนี่” ฉันอุทาน จ้องทารกตัวน้อยสองคนที่นอนคู่กันอยู่ตรงหน้าอย่างกับตุ๊กตามีชีวิตพี่นุพยักหน้า “ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นแฝด เพราะท้องของเก๋เล็กมาก” พี่นุลูบผมทารกที่ร้องโยเยอย่างอ่อนโยน ฉันเองอดจะจับมือน้อย ๆ นั่นไม่ได้“ผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ย”“หญิงหนึ่งชายหนึ่ง”ฉันก้มลงเอานิ้วเขี่ยแก้มสีขาวอมชมพูนั่น “น่ารักจัง แหม ทำมามีความลับ ที่แท้ก็เรื่องน่ายินดี แค่นี้ก็บอกก่อนก็ไม่ได้” ฉันต่อว่าพี่ชาย“นุ…โทรศัพท์นาย” นายคีตาเดินถือโทรศัพท์มือถือเข้ามาในห้อง ส่งให้พี่ชายของฉันแล้วเลยนั่งลงข้างที่นอนเด็กอีกคน“น่ารักนะ เจ้านุมันโชคดีจริง ๆ ได้ทีเดียวสองเลย”“แล้วของนายล่ะ เมื่อไหร่จะตกลงปลงใจกันเสียที เดี๋ยวไม่ทันใช้หรอก” ฉันถาม“ยังสร้างเรือนหออยู่เลย” เขาตอบ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เด็กน้อยเพิ่งรู้ว่านายนี่กำลังจะแต่งงานเหมือนกัน อยากรู้นักว่าผู้หญิงแบบไหนนะที่ยอมเป็นแฟนกับผู้ชายปากร้ายมากถึงมากที่สุดคนนี้ได้ คงเป็นผู้หญิงตาบอดหรือไม่ก็หูหนวก เพราะคงจะไม่รู้สึกขวางหูขวางตาเวลาเขาพูดจาหรือแสดงกิริยาร้าย ๆ ออกมา
ได้ความรู้ต่างๆ
1d
0อ่านฟินสุดๆ
2d
0สนุกมากๆค่ะ อ่านเพลินสุดๆ
3d
0Lihat Semua